คลังบทความของบล็อก

วันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ความแปลกแยก (Alienation) ของผู้ต้องขัง : เหตุที่ไม่อาจคืนคนดีสู่สังคม


ความแปลกแยก (Alienation) ของผู้ต้องขัง : เหตุที่ไม่อาจคืนคนดีสู่สังคม
* มานะ  วินทะไชย  
***********************************************

ปัญหาสำคัญประการหนึ่งที่กรมราชทัณฑ์เผชิญอยู่ คือ การกระทำผิดซ้ำของผู้พ้นโทษ แม้ว่าผู้พ้นโทษเหล่านั้นจะได้ผ่านกระบวนการแก้ไข พัฒนาพฤตินิสัย รวมทั้งการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย  จนมั่นใจได้ว่าเป็นคนดี จึงส่งมอบต่อสังคม เมื่อถึงกำหนดตามกฎ ระเบียบที่เกี่ยวข้อง ทว่า คนดี ส่วนหนึ่งได้กลับมากระทำผิดซ้ำอีก โดยหลายฝ่ายมองไปที่บริบทภายนอกว่า เกิดจากสังคมไม่หยิบยื่นโอกาส ไม่ให้อภัย ไม่ยอมรับกลับสู่สังคม แต่ผู้เขียนเห็นว่า เหตุทั้งนี้ หาได้สามารถอธิบายด้วยมิติการกระทำทางสังคมแต่เพียงด้านเดียวไม่ เพราะหากได้พิจารณาสภาพการณ์ที่เกิดขึ้น ประกอบแนวความคิด ความแปลกแยก(Alienation) ของ Karl Marx อาจพบว่า เหตุที่แท้จริงนั้น อาจเป็นได้ว่า สนิมเกิดแต่เนื้อในตน


ความแปลกแยก (Alienation) เป็นแนวความคิดของ Karl Marx (1818-1883) นักปรัชญาการเมืองสำนักความคิดสังคมนิยม Marxism ใช้สำหรับอธิบายสภาพชีวิตและความรู้สึกของกรรมกรในโรงงานอุตสาหกรรม ภายใต้ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม เขากล่าวว่า ชนชั้นกรรมกรในระบบอุตสาหกรรมทุนนิยมจะตกอยู่ภายใต้สภาวะความแปลกแยกหรือความเหินห่าง เพราะพวกนี้จะรู้สึกว่า ถูกแยกออกจากกระบวนการผลิต ตลอดจนการครอบครองปัจจัยแห่งการผลิต ทำให้แรงงาน เวลา และชีวิตของชนชั้นกรรมกร เป็นส่วนหนึ่งของนายทุน โดยกรรมกรจะตกอยู่ในสภาพเหมือนเป็น ส่วนประกอบของเครื่องจักรกล ลักษณะเช่นนี้  Marx  เรียกว่า การลดคุณค่าของความเป็นมนุษย์(Dehumanization) เริ่มต้นจากความรู้สึกว่า ตัวตนถูกแยกออกจากกระบวนการผลิตในตัวของมันเอง ไปสู่การแยกออกจากผลผลิต ที่ได้จากกระบวนการผลิตนั้น แล้วไปสู่การแยกออกจากข้อผูกพันทางสังคม แยกออกจากบุคคลอื่นๆ และแยกออกจากความเป็นมนุษย์ของตนเองในที่สุด (จรัส,2545:12)

จากแนวคิดดังกล่าว อธิบายถึงความแปลกแยกทางสังคม รวมทั้งสิ่งใดๆที่ประกอบสร้างเป็นสังคมได้ว่า สาเหตุที่บุคคลมีความรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นส่วนหนึ่ง หรือไม่มีความผูกพันต่อสังคม ซึ่งอาจรวมไปถึงการนิ่งเฉย ไม่ยินดียินร้าย กระทั่งต่อต้านสังคม เนื่องจากบุคคลมีความรู้สึกว่า ความเป็นไปในสังคมในรูปแบบหรือกิจกรรมต่างๆ นั้น ตนเองไม่มีอำนาจที่จะควบคุมให้เกิดผลตามที่ต้องการได้ ตรงกันข้ามกลับถูกควบคุมในรูปแบบหรือวิธีการต่างๆ ไม่สามารถที่จะทำนายหรือคาดการณ์ได้ว่า รูปแบบความสัมพันธ์ของตนที่มีต่อสังคมดังกล่าว จะส่งผลในทางดี หรือร้าย หรือตามที่ตนต้องการหรือไม่เพียงใด  ไม่สามารถหาปทัสถานหรือกฎเกณฑ์ที่จะเป็นแบบฉบับของรูปแบบความสัมพันธ์ทางสังคมได้อย่างถูกต้อง มีความรู้สึกว่าตนเองไม่ต้องการที่จะเข้าไปสู่การปฏิสัมพันธ์ทางสังคม  ดังนั้น จึงเกิดความรู้สึกว่า ตนเองเป็นสิ่งแปลกปลอม เป็นความแปลกแยก แตกต่างจากสังคม และไม่อยากให้ความสนใจในรูปแบบ กิจกรรมความสัมพันธ์ในทางสังคมอีกต่อไป

 
เมื่อไม่สนใจสังคม สังคมก็ไม่นำพาต่อบุคคลผู้นั้น ในขณะเดียวกันสังคมกลับสร้างแรงบีบกดให้  เกิดความรู้สึกอึดอัด ขัดใจในตนเอง เกิดความสับสน แปลกแยกกับสังคมอันจะพัฒนาบุคลิกภาพไปสู่การต่อต้าน ทำลาย ทำร้ายสังคม ด้วยการกระทำผิดในรูปแบบของอาชญากรรมประเภทต่างๆ ผลที่ตามมาคือ บุคคลผู้แปลกแยกเหล่านั้น ต้องเข้าสู่ระบบเรือนจำ ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความแปลกแยกมากยิ่งขึ้นไปอีก    ด้วยเหตุที่ ทั้งโครงสร้างและกระบวนการปฏิบัติต่อผู้ต้องขังในเรือนจำมีส่วนสำคัญในการสร้างความแปลกแยกในตัวตนของผู้ต้องขัง กล่าวคือ  
1. ผู้ต้องขังแปลกแยก จากกระบวนการของเรือนจำที่ต้องทำตามตารางเวลาเกี่ยวกับการควบคุม การฝึกวิชาชีพ  การเรียนการสอนการอบรม รวมทั้งการกินอยู่ หลับนอน และแนวทางการปฏิบัติอื่นๆ ภายใต้การกับกับ ควบคุม ชี้นำโดยเคร่งครัดของเจ้าหน้าที่ จากสภาวะดังกล่าว ใครก็ตามเมื่อต้องเข้าไปอยู่ในกระบวนการที่เป็นสภาพบังคับ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ ย่อมส่งผลให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกในกระบวนการของเรือนจำที่ต้องการประดิษฐ์สร้างตัวตนผู้ต้องขังที่กลายเป็นผลผลิตตามกรอบที่เรือนจำต้องการ หรืออีกนัยหนึ่งตามกรอบที่รัฐกำหนดให้เป็นไปตามอุดมการณ์ความสงบเรียบร้อยของสังคม-ความมั่นคงแห่งรัฐ แม้ว่าผู้ต้องขังจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม
2. ผู้ต้องขังแปลกแยกจากตัวเอง  มนุษย์ผู้แปลกแยกไม่สามารถที่จะควบคุมการดำเนินชีวิตของตนให้เป็นไปตามความปรารถนาไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ก็ตาม (กาญจนา,2527 : 2) กล่าวคือ โดยทั่วไปมนุษย์จะไม่สามารถพัฒนาบุคลิกภาพของตัวเองได้โดยลำพัง และจะไม่มีบุคลิกภาพเป็นไปเองตามธรรมชาติ แต่จะต้องผ่านการกล่อมเกลาทางสังคม ซึ่งในกรณีผู้ต้องขัง เมื่ออยู่ในเรือนจำบุคลิกภาพจะถูกกำหนดขึ้นโดยบุคคลอื่น ทั้งจากเจ้าหน้าที่  ผู้ต้องขังด้วยกัน ตลอดจนกระบวนการปฏิบัติในเรือนจำ เช่น กฎ ระเบียบ โซ่ตรวน กรงเหล็ก ถ้อยคำสื่อสารที่แยกชั้น แบ่งระดับที่แฝงนัยของการกดขี่ เป็นต้น ล้วนแต่เป็นเครื่องมือลดทอนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ทั้งสิ้น ซึ่งคอยบังคับ ควบคุมผู้ต้องขังให้อยู่ด้วยความหวาดระแวงและหวาดกลัว ทำให้รู้สึกสูญสิ้นความเคารพตนเอง สูญสิ้นความมีอำนาจในตัวเอง จนเกิดความรู้สึกต่อต้านตัวเอง กระทั่งขาดความเป็นตัวของตัวเอง แต่ก็ต้องยอมรับ ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ก็ตาม

3. ผู้ต้องขังแปลกแยกจากเรือนจำ เจ้าหน้าที่ และผู้ต้องขังด้วยกัน ด้วยเหตุจากสภาพแวดล้อมที่บีบบังคับให้ต้องทำ เพื่ออยู่ให้รอดภายใต้กระบวนการควบคุมและพัฒนาพฤตินิสัยไม่ว่าในรูปแบบหรือกิจกรรมใดและจะทำให้ได้มาซึ่งผลผลิต หรือผลิตภัณฑ์ใดก็ตาม ล้วนต้องเป็นไปตามกฎ ระเบียบที่เคร่งครัด พร้อมกับความซ้ำซาก จำเจ ไม่สามารถใช้ความคิด  แม้เพียงแต่จะดำรงชีวิตตามปกติในเรือนจำ ส่งผลให้ผู้ต้องขังเกิดความรู้สึกอยากแยกตัวเองออกจากเรือนจำ จากเจ้าหน้าที่ จากกระบวนการของเรือนจำ และจากผู้ต้องขังด้วยกัน เพื่อคงความเป็นตัวของตัวเองไว้ให้นานที่สุด แม้จะเหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็ตาม

บุคลิกภาพที่ฝังแน่นติดตัวจากการประกอบสร้างผ่านระบบเรือนจำมานานปีเช่นนี้ เมื่อผู้ต้องขังพ้นโทษออกไป จะพกพาความรู้สึกแปลกแยกในตัวตนออกไปด้วย โดยตระหนักว่าตนเองเข้ากันไม่ได้กับสังคม และประชาชนทั่วไป  รู้สึกถึงความไม่เท่าเทียมกันในคุณค่าของความเป็นมนุษย์ ซึ่งถูกลดทอนผ่านกระบวนการเรือนจำ  จนเกิดความสับสนในสภาพของตัวเอง ภาวะโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่ง ไร้อำนาจ โดยเชื่อว่าอำนาจต่างๆทางสังคมที่กดทับ บีบคั้นนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุม และในที่สุดก็จะพัฒนาบุคลิกภาพและความรู้สึกในสองแนวทางหลัก คือ ยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง หรือ ก่อเกิดสภาวะที่ลุกขึ้นมาสู้ หรือต่อต้านระบบหรืออำนาจทางสังคม จนกระทั่งผลักดันให้ทำร้ายสังคมในรูปแบบและพฤติกรรมต่างๆ เป็นการ กระทำผิดซ้ำ คล้ายวัฏจักรที่ไม่มีวันสิ้นสุด ของ คนดีซึ่งเป็นผลผลิตของกรมราชทัณฑ์ที่ส่งมอบให้กับสังคม
จากแนวคิดของ Marx ข้างต้น เราคงต้องกลับมาตั้งคำถามกันใหม่ว่า เหตุแท้จริงของการกระทำผิดซ้ำนั้น ใช่หรือไม่ว่า หาได้เกิดจากเหตุปัจจัยภายนอกที่มักกล่าวอ้าง เกี่ยวกับความเชื่อมั่น การยอมรับและการให้ หรือไม่ให้โอกาสของสังคมแต่เพียงปัจจัยเดียวอย่างที่เคยชินกับการผลักภาระให้กับสิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม หากแต่บางที สาเหตุหลัก แท้จริงแล้ว มันซ่อนลึก ฝังแน่นอยู่ในกระบวนการปฏิบัติเพื่อคืนคนดีสู่สังคมนั่นเอง เป็นกระบวนการที่สร้าง ความแปลกแยกในตัวตนของผู้ต้องขังที่เราเชื่อมั่นเสมอมา

 
เอกสารอ้างอิง

กาญจนา แก้วเทพ.2527.จิตสำนึกของชาวนา: ทฤษฎีและแนวการวิเคราะห์แบบเศรษฐศาสตร์การเมือง.
           เจ้าพระยาการพิมพ์.กรุงเทพมหานคร
จรัส ตั้งวงศ์ชูเกตุ .2545.ความเห็นต่างทางการเมือง:ศึกษาเฉพาะกรณีนิสิตปริญญาตรี                                     คณะสังคมศาสตร์  มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชารัฐศาสตร์ ,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

น้อมรับข้อคิดเห็นครับ