วันจันทร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คลายเครียด (Relax 4) ตอน : ระวังไข่

            ชายคนหนึ่งขึ้นรถเมล์ และเดินเข้าไปจะนั่งข้างสาวสวย หมวย .......

หญิงสาว : อุ้ยพี่ ! ระวังไข่นะคะ     หญิงสาวบอกและชี้ไปที่ถุงทีวางอยู่
                  
ชายหนุ่ม : ถุงไข่หรือจ๊ะน้องสาว

หญิงสาว : ถุงทุเรียนค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก วารสารEHB

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คลายเครียด (Relax 3) ตอน อาการน่าวิตก

           หลังจากโทรเรียกหมอ มาดูอาการในห้องนอน สักครู่หมอก็ออกมา ขอไขควง ไปอันหนึ่ง  ประเดี๋ยวเดียวก็ออกมาขอคีม และ 2 - 3 นาทีต่อมาก็ออกมาขอค้อน กับสิ่ว

           คราวนี้เจ้าของบ้านทนไม่ได้  จนต้องถามขึ้นว่า
"ภรรยาผมเป็นอะไรนักหนาหรือหมอ" ?

           "เอ...ยังไม่ทราบเหมือนกันครับ  ผมยังเปิดกระเป๋ายาของผมไม่ได้เลย"


"บีบให้เจ็บ"

มือขยับจับบรรจงที่ตรงหมาย
น้องว่าอายกลัวเจ็บจึงขัดขืน
น้องไม่เคยพี่ยังทำสุดกล้ำกลืน
น้องยังตื่นบอกพี่ค่อยน้องคงอาย
พุ่งกระฉูดสยองนองด้วยเลือด
ช่างดุเดือดเสียงครางดังไปทั่ว
โธ่  น้องเจ็บ  น้องปวดไปทั้งตัว
มาบีบมั่วสิวหัวช้างข้างแก้มเรา

ขอบคุณ ข้อมูลจากวารสารอิเล็กทรอนิกส์แฮนด์บุ๊ค (EHB)

คลายเครียด (Relax 2) ตอน เทคโนโลยีใหม่ โปรแกรมเพื่อการคลอด

           หมอได้สร้างโปรแกรมขึ้นมาใหม่ เป็นโปรแกรมกำลังจิตเพื่อการแพทย์ ใช้สำหรับโรงพยาบาลเพื่อการคลอดโดยเฉพาะ กระทรวงสาธารณะสุขได้นำไปใช้อย่างกว้างขวาง นัยว่าเพื่อลดความเจ็บปวดในการคลอดสำหรับคนที่เป็นแม่
           ชายหนุ่มคนหนึ่ง พาเมียไปใช้บริการ หมอบอกว่า ภรรยาสามารถถ่ายทอดความเจ็บปวดไปยังสามีได้  ชายหนุ่มจึงจับมือภรรยาไว้  หมอปรับปุ่มตั้งเครื่องความปวดไว้ที่ 25 %  สามีดูเฉย ๆ หมอเลยเพิ่มขึ้นเป็น 50 และ 75 % สามีก็ยังเฉยอยู่ ส่วนภรรยาสดชื่นอย่างเห็นได้ชัด 

           "เอาเถอะที่รัก แบ่งความปวดมาทั้ง 100% เลยนะ"   แล้วเธอก็คลอดลูกสบาย ๆ อย่างกับผายลมทิ้งยังงัยยังงั้น  แถมอีกชั่วโมงต่อมา ก็ออกจากโรงพยาบาลได้ ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคน  รวมถึงหมอทำคลอดด้วย    เมื่อเขาเดินออกมาจากโรงพยาบาล พบว่า บุรุษไปรษณีย์ เด็กส่งหนังสือพิมพ์ คนสวน ตายเกลื่อน ... มีคนหามส่งโรงพยาบาลสวนทางกับคู่สามี-ภรรยา !!

ขอบคุณ ข้อมูลจากวารสารอิเล็กทรอนิกส์แฮนด์บุ๊ค(EHB)

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

คลายเครียด (Relax 1) ตอน คอมพิวเตอร์มีปัญหา

           คอมพิวเตอร์มีปัญหาดังนี้ ครับ

ถาม Q. เมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ผมได้อัพเกรดโปรแกรมจาก "แฟน 7.0" มาเป็น "ภรรยา CS4" พบว่ามีอาการแปลกๆ รวมถึงกินพื้นที่และทรัพยากรอันมีค่าเป็นอันมาก และเกิดเหตุการณ์ระบบล่มขึ้น เมื่อโปรแกรมเหล่านี้ถูกเรียกใช้ ผมจึงคิดที่จะกลับไปใช้ "แฟน 7.0" แต่ปรากฏว่า โปรแกรม Uninstaller ไม่สามารถทำงานได้ มันเป็นอย่างไรครับ

ตอบ A. ชี้แจงปัญหาของโปรแกรม "แฟน 7.0" ไปเป็น "ภรรยา CS4" เนื่องจากคิดว่า "ภรรยา CS4" เป็นโปรแกรม อรรถประโยชน์ และเพื่อความบรรเทิง (Utilities & Entertainment) แต่อันที่ จริงแล้ว "ภรรยา CS4" เป็นระบบจัดการ ซึ่งผู้สร้างได้ออกแบบให้ RUN ทุกอย่างและคุณไม่สามารถถอน "ภรรยา CS4" หรือแม้แต่การแปลงกลับไปเป็น "แฟน 7.0" เพราะระบบจะจำลอง "แฟน 7.0" ให้เป็น "ภรรยา CS4" อยู่ดี จึงไม่มีประโยชน์อันใด  แต่มีผู้ใช้บางท่านได้พยายามที่จะติดตั้ง "แฟน 8.0" หรือ "Small House 2.0" แต่ท้ายที่สุดก็มีปัญหามากขึ้นกว่าเดิม  ควรระวัง  ข้อมูลสินไหมทดแทน และขอแนะนำให้ใช้ "ภรรยา CS4" ด้วยความระมัดระวัง และอยากให้คุณติดตั้งออปชั่น  โปรแกรม "C : ได้จ๊ะที่รัก" เพื่อป้องกันข้อขัดแย้งในการใช้โปรแกรม "ภรรยา CS4"  และในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ โปรแกรม "C : ได้จ๊ะที่รัก" มีปัญหา ไม่สามารถแก้ไขได้ ให้เพิ่มโปรแกรม "C : ขอโทษจ๊ะที่รัก" ซึ่งก็จะช่วยให้ระบบจัดการปกติ

            โปรแกรม"ภรรยา CS4" เป็นโปรแกรมที่ดีต้องการดูแลเอใจใส่สูง คุณควรซื้อซอฟแวร์เพิ่มเติมขีดความสามารถของ"ภรรยา CS4" ขอแนะนำโปรแกรม "ดอกไม้ 2.0.1" และ "เครื่องเพชร 5.1.2" และที่สำคัญที่สุด ควรที่จะหลีกเลี่ยงการติดตั้งโปรแกรม "เลขาสุดสวย 36.24.36" ซึ่งนอกจากจะไม่สนับสนุนโดย "ภรรยา CS4" แล้ว ยังมีโอกาสสูงที่จะทำให้ระบบเสียหายได้     

ขอให้โชคดี

ขอบคุณข้อมูลจาก วารสารอิเล็กทรอนิกส์แฮนด์บุ๊ค (EHB) 

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทำไมต้องใส่ใจใน "คำพูด"

           การแสดงออกซึ่งตัวตนของคนเรานั้นมีหลายทางโดยจะเกี่ยวเนื่องกับสภาวะจิตใจและอารมณ์เสมอ เช่น การแสดงออกทางกริยาท่าทาง สายตา และคำพูด กล่าวคือ เมื่ออารมณ์เสีย ก็จะแสดงอาการหงุดหงิด โมโห โกรธ เซ็ง ฮึดฮัด และเสียงดัง  หากอารมณ์ดี ก็จะ ยิ้ม สนุกสนาน หรือร้องเพลง เป็นต้น
           การพูดก็เป็นการแสดงออก อย่างหนึ่ง ที่จะแสดงให้เห็นถึง เจตนา ความคิด หรือตัวตนของผู้พูด ดังนั้นเมื่อคำพูด สามารถแสดงตัวตนของผู้พูดได้ ก็แสดงว่าการพูดก็สามารถทำให้ผู้พูดเจริญหรือเสียคนได้เช่นกัน
           หากวิเคราะห์ ถึงวิธีการ ข้อปฏิบัติหรือมารยาทในการพูด จะพบว่าสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มลักษณะการพูดในทางบวก และกลุ่มลักษณะการพูดในทางลบ
           1) กลุ่มลักษณะการพูดในทางบวก เช่น
                       - พูดมีสาระ
                       - รู้จักเลือกหัวข้อที่จะพูด
                       - แสดงความจริงใจในการพูด
                       - รักษาคำพุดหรือคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้
                       - รู้จักกาละเทศะ ที่ต่ำที่สูงและควรไม่ควร
                       - รู้จักวางตัว และเคารพสถานที่
                       - ใช้เสียงดังพอประมาณ
                       - รู้จักรักษาความลับ
                       - รู้จังหวะเปลี่ยนหัวข้อการพูด
           2) กลุ่มลักษณะการพูดในทางลบ เช่น
                       - ขี้บ่น
                       - สบถ สาบาน (เช่น ให้ฟ้าผ่าหมาตายเหอะ)
                       - ล้อเลียน
                       - ยกยอจนเกินงาม
                       - ดูถูกเหยียดหยาม
                       - พูดคำหยาบ ลามก
                       - พูดทับถมหรือเกทับผู้อื่น
                       - เอาความไม่ดีของคนอื่นไปพูด
                       - นินทาผู้อื่นในแง่ลบ (อยากรู้เรื่องของชาวบ้าน เรื่องตัวเองไม่รู้)
                       - วิพากษ์ วิจารณ์เกี่ยวกับศาสนา การเมือง หรือความรัก
                       - พูดให้คนฟังหรือผู้พูดด้วยเสียหน้า
                       - ตะโกนโหวกเหวก ข้ามหัวผู้ใหญ่ (และกำนัน อิอิ)
                       - พูดโอ้อวด อวดอ้างความรวย หรือความดีของตนเอง
                       - นำเรื่องในครอบครัวมาพูด (ไฟในอย่านำออก ไฟนอกอย่านำเข้า)
                       - ส่อเสียด
                       - ติเตียน
                       - ปฏิเสธความดีของผู้อื่น
                       - ปรับทุกข์กับบุคคลอื่นโดยไม่จำเป็น
                       - พูดมาก นอกเรื่อง น่ารำคาญ
                       - ให้ร้ายป้ายสี (ใส่ไฟ)
                       - ถ่อมตัวมากเกินไป (จนกลายเป็น ถล่มตัว)
            จากที่ยกตัวอย่างมา จะเห็นว่าการพูดเป็นเรื่องที่สำคัญมาก คำพูดในหลายลักษณะ ทำให้ผู้พูดเสื่อมหรือเกิดผลเสียแก่ตัวเองได้ตลอดเวลา ทั้งนี้เพราะเมื่อพลั้งปากพูดไปแล้ว เราไม่สามารถลบหรือนำกลับมาได้ (ยกเว้นในสภา ที่มีการขอถอนคำพูด) ฮา  ดังนั้นผู้อ่านสามารถนำตัวอย่างลักษณะการพูดไปประเมินและปรับปรุงการพูดของตัวเองได้ครับ  แต่หลักง่ายๆ ก็คือ "คิดก่อนพูด" หรือคำนึงถึงคำกล่าวที่ว่า " ก่อนพูด  เราเป็นนาย  พูดไปแล้ว คำพูดเป็นนายเรา"

วันจันทร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ทำไมต้องต่อสายดิน (Ground System)



             ในปัจจุบันไฟฟ้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตประจำวันของทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ไฟฟ้าในที่ทำงานหรือการพักผ่อนอยู่กับบ้าน ซึ่งในแต่ละกิจกรรมล้วนต้องใช้ไฟฟ้าผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้าทั้งสิ้น  จะเห็นว่าพลังงานไฟฟ้ามีประโยชน์มากมาย แต่ในทางกลับกันก็แฝงไปด้วยโทษหรืออันตรายมากเช่นกันหากใช้ไม่ถูกต้อง  ดังนั้นการใช้ไฟฟ้าอย่างถูกต้องถูกวิธีและคำนึงถึงความปลอดภัยจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ 
              การต่อสายดิน (Ground) เป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย    (ไฟไม่ดูด)  สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องการต่อสายดิน ผมจะขอกล่าวพอเป็นสังเขปง่ายๆ ดังนี้ครับ
  1. ความหมายของสายดิน  สายดิน หมายถึง สายไฟฟ้าที่ปลายด้านหนึ่งต่ออยู่กับขั้วดินของระบบไฟฟ้า (Ground) หรือต่ออยู่กับบริเวณโครงหรือตัวถังของเครื่องใช้ไฟฟ้า ส่วนปลายสายไฟอีกด้านที่เหลือ จะต่ออยู่กับหลักดินหรือต่อลงดิน (มาตรฐานของสายไฟที่ใช้ทำสายดินจะเป็นสีเขียวคาดเหลือง)
  2. หลักดิน คือแท่งเหล็กเคลือบทองแดงที่มีขนาดตั้งแต่ 60 - 180 เซนติเมตร(อาจจะเรียกว่า "แท่ง กราวด์รอด) ซึ่งใช้สำหรับปักลงไปในดิน โดยที่ปลายด้านหนึ่งของหลักดินจะมีขั้วไว้สำหรับต่อกับสายไฟฟ้าหรือสายดินนั่นเอง
  3. วิธีการต่อสายดิน สามารถทำได้ 2 แบบ คือ
             3.1 การต่อสายดินที่ระบบไฟฟ้า
             3.2 การต่อสายดินที่เครื่องใช้ไฟฟ้า
 วิธีการต่อสายดินทั้ง 2 แบบ สามารถอธิบายได้ ดังนี้
  • การต่อสายดินที่ระบบไฟฟ้า   เป็นการต่อสายดินทั้งระบบภายในบ้านหรืออาคารตั้งแต่เริ่มติดตั้งระบบไฟฟ้า หากสังเกตจะพบว่าเป็นการต่อสายดินที่ขั้วกราวด์ตรงกลางของเต้ารับ (เต้ารับหรือปลั๊กที่มีขั้วกราวด์จะมี 3 รู และขั้วกราวด์จะเป็นรูตรงกลาง) ในทุกจุดของอาคาร มารวมกันหมดที่แผงหรือตู้ควบคุมไฟฟ้าและมีสายต่อลงหลักดินที่จุดนี้เพียงจุดเดียว
  • การต่อสายดินที่เครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นการต่อสายดินเฉพาะจุดที่ต้องการ เช่น เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เตาไมโครเวฟ เป็นต้น การต่อจะนำปลายด้านหนึ่งของสายไฟฟ้าต่อเข้ากับโครงหรือตัวถังที่เป็นโลหะของเครื่องใช้ไฟฟ้า (อาจจะต่อที่สกรูยึดโครงตัวถัง) และปลายด้นหนึ่งต่อกับหลักดิน


   4. ประโยชน์ของการต่อสายดิน สายดินจะทำให้ผู้ใช้ไฟฟ้าไม่ได้รับอันตรายจากไฟรั่ว เมื่อสัมผัสกับเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งไฟรั่วเกิดจากการผิดปกติของระบบไฟฟ้าหรือเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยปกติเมื่อเกิดไฟรั่วกระแสไฟจะไหลลงสู่ดินที่หลักดิน ซึ่งหากไม่มีการต่อสายดินกระแสไฟก็จะไหลผ่านร่างกายลงสู่ดินและเกิดอาการที่เรียกว่า "ไฟฟ้าดูด" เป็นอันตรายต่อชีวิต

            จากที่กล่าวมาทั้งหมดจะเห็นว่า การต่อสายดิน เป็นเรื่องที่สำคัญและไม่ควรมองข้าม แม้บางคนจะคิดว่าการไม่ต่อสายดินเครื่องใช้ไฟฟ้าก็ยังทำงานได้เป็นปกติ  ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ผิด แต่เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมาก็จะทำให้เสียใจในภายหลังและไม่สามารถเรียกคืนการสูญเสียนั้นกลับมาได้  ดังนั้นผู้อ่านท่านใดที่ต้องการจะต่อสายดินในบ้านเพื่อความปลอดภัยแก่บุคคลอันเป็นที่รัก ก็ให้รีบดำเนินการ หากไม่มั่นใจที่จะติดตั้งเองให้ติดต่อช่างไฟฟ้ามาดำเนินการให้  ดังคำกล่าวที่ว่า "ปลอดภัยไว้ก่อน"   นั่นเอง