วันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ความสกปรกและภยันตรายปลายท่อ : สภาวะลืมเหตุ ไม่สนใจผลของสังคมที่เอาแต่คาดหวัง



* มานะ  วินทะไชย  

ในคราวสัมมนาเชิงปฏิบัติการยกร่างแผนทิศทางกรมราชทัณฑ์ฉบับที่ 3 พ.ศ.2554-2558 ในขั้น SWOT Analysis อุปสรรคหรือภัยคุกคาม (Threats) (กรมราชทัณฑ์,2554;20-22) ที่พิจารณาด้วยมุมมอง Outside-In และติดอยู่ในใจผู้เขียนเสมอมา ประกอบด้วย
       1. รัฐบาลเรียกร้องและคาดหวังต่อ “การคืนคนดีสู่สังคม”ของกรมราชทัณฑ์ แต่ไม่ให้ความสำคัญและมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการปฏิบัติงานของกรมราชทัณฑ์
       2. ผู้ต้องขังเป็นบุคคลด้อยโอกาส รัฐบาลมองเป็นภาระ ไม่ให้ความสนใจ แต่ก็คาดหวังสูงต่อกรม
ราชทัณฑ์ให้เปลี่ยนภาระเป็นพลังสร้างสรรค์สังคม
       3. สังคมไม่เชื่อมั่นกระบวนการแก้ไข ไม่ยอมรับ ไม่เปิดโอกาสให้กับผู้พ้นโทษ “คนดี คืนสู่สังคม” ส่งผลต่อการกลับมากระทำผิดซ้ำและเป็นปัญหาที่กรมราชทัณฑ์ต้องแบกรับต่อไป 
       4. การบูรณาการการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำของหน่วยงานในกระบวนการ
ยุติธรรมเกิดขึ้นได้ยาก ปัจจัยสำคัญเกิดจากโครงสร้าง/สังกัด/กฎ/ระเบียบ/วัฒนธรรม/ฐานความเชื่อ/กระบวนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานและการไม่ตระหนักถึงความสำคัญต่อปัญหาของกระบวนการ ส่งผลให้ “ผู้ต้องขังล้นเรือนจำ เป็นปัญหาเฉพาะของกรมราชทัณฑ์เท่านั้น หาใช่ปัญหาของใคร และไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับกระบวนการ

อุปสรรคหรือภัยคุกคามข้างต้นบางประเด็นอาจจะไม่เป็นปัญหาเมื่อแรกก่อตั้งหน่วยงานแห่งนี้ แต่บางข้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องทัศนคติและความเชื่อมั่นของรัฐและสังคมต่องานราชทัณฑ์ ที่มักไม่ได้รับการเหลียวแล เอาใจใส่ ดูคล้ายกับว่าเป็นมรดกที่ได้รับตกทอด สืบเนื่องมายาวนานทั้งที่ใจไม่ปรารถนา ทั้งนี้อีก 2 ปี ข้างหน้า กรมราชทัณฑ์จะมีอายุการสถาปนาครบศตวรรษ ใช่หรือไม่ว่า ประเด็นปัญหานี้ จะคงอยู่เป็นความท้าทายให้เราร่วมกันหาทางแก้ไข เพื่อพิสูจน์ตนเองว่าการดำรงตนคงอยู่มาได้ร่วม 100 ปีนั้น    ใช่ว่าอยู่ได้เพราะภารกิจนี้ ไม่มีใครทำ งานนี้ไม่มีคู่แข่งให้เทียบเปรียบสมรรถนะ ทำดีหรือไม่ดี ก็ต้องเลี้ยงไว้ หรือว่าที่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ เป็นความสามารถในการปรับตัว และปรับเปลี่ยนการทำงานที่สอดคล้องสภาวะความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและเทคโนโลยีมาทุกยุคทุกสมัย กล่าวคือ ทำได้...เอาอยู่ แม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างยั่งยืนจากภาคส่วนต่างๆเท่าที่ควร

แต่อย่างไรก็ตามนอกจากปัญหาเรื่องทัศนคติและความเชื่อที่กรมราชทัณฑ์ประสบเรื่อยมานั้น  ยังต้องเผชิญกับปัญหาเชิงกลไกภาครัฐที่ต่างหน่วยต่างทำ ต่างอยู่และต่างรับผิดชอบเฉพาะหน้าตักของตน โดยไม่นำพาต่อผลกระทบสังคมและประชาชนในภาพรวม ซึ่งไกลตัวและจับต้องไม่ได้ ดัวยเหตุนี้ สภาวะ 100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว แดนสนธยา และปลายท่อน้ำทิ้ง ในมุมมอง Outside-In ดังกล่าว จึงเป็นผลของการ “ถูกกระทำ”ที่กรมราชทัณฑ์ต้องแบกรับ

ผู้เขียนได้อ่านบทความเรื่อง ปล่องไฟสูง (นิธิ เอียวศรีวงศ์:133-137) สรุปความว่า“ในสังคมอุตสาหกรรม โรงงานจะสร้างปล่องไฟสูง เพื่อให้ควันไฟที่ปล่อยออกมา ถูกลมพัดพาไปไกล นับร้อยไมล์ กว่าฝุ่นละอองและมลพิษจะตกลงมา ก็จับมือใครดมไม่ได้ว่ามาจากไหน โรงงานก็ปลอดภัยจากคดีแพ่ง คดีอาญาเพราะปล่องไฟสูง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นเทคโนโลยีปลายท่อ ที่มีประสิทธิภาพต่ำ ที่ความสกปรกและภยันตรายทั้งหลาย ไม่ได้ทำความสะอาดก่อนปล่อยออกสู่บรรยากาศ ยิ่งกว่านั้น ยังมีการต่อท่อให้ยาวไกลจนกระทั่งความสกปรกไปตกแก่คนอื่น โดยไม่สามารถหาต้นตอที่แท้จริงได้” ทั้งนี้ ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าระบบความคิดในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับ Division of Labor อันมีสายพานการผลิตตามความชำนาญและยืดยาว จะมีอิทธิพลต่อสำนักความคิดด้านสังคมศาสตร์สาขาต่างๆ รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจะบังเอิญหรือตั้งใจ ความสูงของปล่องไฟ ช่างละม้าย สายพานงานยุติธรรมอันยาวไกล และมักสิ้นสุดลงที่งานราชทัณฑ์ หรือเรือนจำ อาจกล่าวได้ว่ามันคือ ปล่องไฟในแนวราบ หรือท่อน้ำทิ้งของกระบวนการยุติธรรมที่ทอดยาว ซึ่งส่งผลให้ความสกปรกและภยันตราย (ผู้ต้องขัง) อันเกิดจากสภาพบีบคั้น หรือทนได้ยากทางสังคม การเมือง ความเหลื่อมล้ำทั้งแง่การครอบครองและเข้าถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความเท่าเทียมกันทางรายได้และการกระจายโอกาส ตกตะกอนนอนแน่นิ่งอยู่ที่ปลายทางของท่อน้ำทิ้งกว่า 240,000 คน (มกราคม 2556) ที่อัตคัดการเหลียวแลและเอาใจใส่จากทั้งฝ่ายการเมือง ภาครัฐและสังคมอย่างจริงจัง ย่อมขาดซึ่งทรัพยากรที่เพียงพอต่อการ “แก้ไข ฟื้นฟูและพัฒนา” ทว่ากลับคาดหวังให้บ่อน้ำทิ้ง ทำหน้าที่เป็นบ่อบำบัดน้ำเสีย เพื่อส่งต่อน้ำดีอันอุดมด้วยออกซิเจนกลับคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ ในสภาพที่ใกล้เคียง หรือดีเสมอกัน ก่อนกลายเป็นน้ำร้ายแต่หลงลืมไปว่าขณะที่กระบวนการบำบัดได้ขับเคลื่อนอยู่นั้น น้ำเสียทิ้งปลายท่อก็ยังไม่หยุดไหลมาจากต้นทางอันยาวไกล ไกลจนจับไม่ได้เช่นเดียวกันว่าใครเป็นต้นเหตุ ลืมไปว่าอะไรกันแน่ที่มีส่วนร่วมในการสร้างและก่อให้เกิด “ความสกปรกและภยันตราย” อีกทั้งพร้อมใจกันผลิตซ้ำ (Reproduction) ทัศนคติและความเชื่อที่ว่า “น้ำยังคงเสีย สร้างความเดือดร้อนต่อสังคมและประชาชน เพราะหน่วยงานบำบัดขาดประสิทธิภาพ” เป็นท่วงทำนองปัดสวะความรับผิดชอบไปที่หน่วยงานปลายท่อ จึงยังคงได้รับการกล่าวอ้างและใช้เป็นคำตอบสุดท้ายมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับสังคมที่ชมชอบซุกขยะใต้พรมหรือปัดฝุ่นผงให้พ้นบ้านตน ร่วมกับความพยายามหา “แพะ” ซึ่งหมายถึงการหันเหความสนใจออกจากปัญหาสังคมอันรุนแรงที่กำลังเผชิญอยู่ (จอห์น เออร์วิน:209) รุนแรงอย่างไร ? พิจารณาจากสิ่งใด? ผู้เขียนอ้างคำกล่าวของ Fyodor Dostoyevsky ประพันธกรผู้ยิ่งใหญ่ชาวรัสเซีย “เราตัดสินระดับอารยธรรมในแต่ละสังคมได้จากสภาพเรือนจำ” (ริชาร์ด วิลกินสัน และ เคท พิคเกตต์ : 199) กล่าวคือ สภาพเรือนจำของบ้านเรา เป็นอย่างไร ย่อมสามารถชี้วัดระดับอารยธรรมของสังคมเราได้ตามสภาพนั้น ดังนั้น ในฐานะที่องค์ประกอบต่างๆในสังคม มีส่วนในการสร้างอารยธรรมดังกล่าวขึ้นมา จึงต้องรับผิดชอบร่วมกัน !  ไม่ใช่ทิ้งภาระให้กรมราชทัณฑ์ เพียงลำพัง
 
เอกสารอ้างอิง

กรมราชทัณฑ์.2555.เอกสารร่างแผนทิศทางกรมราชทัณฑ์ ฉบับที่ 3 พ.ศ.2554-2558. 
         (อัดสำเนา)
นิธิ  เอียวศรีวงศ์.2546.ไฮเทคคาถาปาฏิหาริย์.สำนักพิมพ์มติชน.กรุงเทพมหานคร
ริชาร์ด วิลกินสัน และ เคท พิคเกตต์.“การจองจำและการลงโทษ” น.199 ความไม่เท่าเทียม. 
         สำนักพิมพ์โอเพ่นเวิร์ล.กรุงเทพมหานคร

2 ความคิดเห็น:

น้อมรับข้อคิดเห็นครับ