*
มานะ วินทะไชย
ในคราวสัมมนาเชิงปฏิบัติการยกร่างแผนทิศทางกรมราชทัณฑ์ฉบับที่
3 พ.ศ.2554-2558 ในขั้น SWOT
Analysis อุปสรรคหรือภัยคุกคาม (Threats) (กรมราชทัณฑ์,2554;20-22) ที่พิจารณาด้วยมุมมอง Outside-In และติดอยู่ในใจผู้เขียนเสมอมา
ประกอบด้วย
1. รัฐบาลเรียกร้องและคาดหวังต่อ
“การคืนคนดีสู่สังคม”ของกรมราชทัณฑ์ แต่ไม่ให้ความสำคัญและมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อการปฏิบัติงานของกรมราชทัณฑ์
2. ผู้ต้องขังเป็นบุคคลด้อยโอกาส
รัฐบาลมองเป็นภาระ ไม่ให้ความสนใจ แต่ก็คาดหวังสูงต่อกรม
ราชทัณฑ์ให้เปลี่ยนภาระเป็นพลังสร้างสรรค์สังคม
3. สังคมไม่เชื่อมั่นกระบวนการแก้ไข
ไม่ยอมรับ ไม่เปิดโอกาสให้กับผู้พ้นโทษ “คนดี คืนสู่สังคม” ส่งผลต่อการกลับมากระทำผิดซ้ำและเป็นปัญหาที่กรมราชทัณฑ์ต้องแบกรับต่อไป
4. การบูรณาการการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาผู้ต้องขังล้นเรือนจำของหน่วยงานในกระบวนการ
ยุติธรรมเกิดขึ้นได้ยาก
ปัจจัยสำคัญเกิดจากโครงสร้าง/สังกัด/กฎ/ระเบียบ/วัฒนธรรม/ฐานความเชื่อ/กระบวนการปฏิบัติงานของแต่ละหน่วยงานและการไม่ตระหนักถึงความสำคัญต่อปัญหาของกระบวนการ
ส่งผลให้ “ผู้ต้องขังล้นเรือนจำ เป็นปัญหาเฉพาะของกรมราชทัณฑ์เท่านั้น
หาใช่ปัญหาของใคร และไม่เกี่ยวข้องแต่อย่างใดกับกระบวนการ”
อุปสรรคหรือภัยคุกคามข้างต้นบางประเด็นอาจจะไม่เป็นปัญหาเมื่อแรกก่อตั้งหน่วยงานแห่งนี้
แต่บางข้อโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องทัศนคติและความเชื่อมั่นของรัฐและสังคมต่องานราชทัณฑ์
ที่มักไม่ได้รับการเหลียวแล เอาใจใส่ ดูคล้ายกับว่าเป็นมรดกที่ได้รับตกทอด สืบเนื่องมายาวนานทั้งที่ใจไม่ปรารถนา
ทั้งนี้อีก 2 ปี ข้างหน้า กรมราชทัณฑ์จะมีอายุการสถาปนาครบศตวรรษ ใช่หรือไม่ว่า
ประเด็นปัญหานี้ จะคงอยู่เป็นความท้าทายให้เราร่วมกันหาทางแก้ไข เพื่อพิสูจน์ตนเองว่าการดำรงตนคงอยู่มาได้ร่วม
100 ปีนั้น ใช่ว่าอยู่ได้เพราะภารกิจนี้
ไม่มีใครทำ งานนี้ไม่มีคู่แข่งให้เทียบเปรียบสมรรถนะ ทำดีหรือไม่ดี
ก็ต้องเลี้ยงไว้ หรือว่าที่อยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้ เป็นความสามารถในการปรับตัว
และปรับเปลี่ยนการทำงานที่สอดคล้องสภาวะความเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
วัฒนธรรมและเทคโนโลยีมาทุกยุคทุกสมัย กล่าวคือ ทำได้...เอาอยู่
แม้จะไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างยั่งยืนจากภาคส่วนต่างๆเท่าที่ควร
แต่อย่างไรก็ตามนอกจากปัญหาเรื่องทัศนคติและความเชื่อที่กรมราชทัณฑ์ประสบเรื่อยมานั้น ยังต้องเผชิญกับปัญหาเชิงกลไกภาครัฐที่ต่างหน่วยต่างทำ ต่างอยู่และต่างรับผิดชอบเฉพาะหน้าตักของตน
โดยไม่นำพาต่อผลกระทบสังคมและประชาชนในภาพรวม ซึ่งไกลตัวและจับต้องไม่ได้ ดัวยเหตุนี้
สภาวะ 100 ปีแห่งความโดดเดี่ยว แดนสนธยา และปลายท่อน้ำทิ้ง ในมุมมอง Outside-In ดังกล่าว จึงเป็นผลของการ “ถูกกระทำ”ที่กรมราชทัณฑ์ต้องแบกรับ
ผู้เขียนได้อ่านบทความเรื่อง
ปล่องไฟสูง (นิธิ เอียวศรีวงศ์:133-137) สรุปความว่า“ในสังคมอุตสาหกรรม
โรงงานจะสร้างปล่องไฟสูง เพื่อให้ควันไฟที่ปล่อยออกมา ถูกลมพัดพาไปไกล นับร้อยไมล์
กว่าฝุ่นละอองและมลพิษจะตกลงมา ก็จับมือใครดมไม่ได้ว่ามาจากไหน
โรงงานก็ปลอดภัยจากคดีแพ่ง คดีอาญาเพราะปล่องไฟสูง
หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นเทคโนโลยีปลายท่อ ที่มีประสิทธิภาพต่ำ
ที่ความสกปรกและภยันตรายทั้งหลาย ไม่ได้ทำความสะอาดก่อนปล่อยออกสู่บรรยากาศ ยิ่งกว่านั้น
ยังมีการต่อท่อให้ยาวไกลจนกระทั่งความสกปรกไปตกแก่คนอื่น
โดยไม่สามารถหาต้นตอที่แท้จริงได้” ทั้งนี้
ผู้เขียนไม่แน่ใจว่าระบบความคิดในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับ Division of
Labor อันมีสายพานการผลิตตามความชำนาญและยืดยาว
จะมีอิทธิพลต่อสำนักความคิดด้านสังคมศาสตร์สาขาต่างๆ
รวมทั้งกระบวนการยุติธรรมกระแสหลักหรือไม่ ข้อเท็จจริงที่ปรากฏจะบังเอิญหรือตั้งใจ
ความสูงของปล่องไฟ ช่างละม้าย สายพานงานยุติธรรมอันยาวไกล และมักสิ้นสุดลงที่งานราชทัณฑ์
หรือเรือนจำ อาจกล่าวได้ว่ามันคือ ปล่องไฟในแนวราบ
หรือท่อน้ำทิ้งของกระบวนการยุติธรรมที่ทอดยาว ซึ่งส่งผลให้ความสกปรกและภยันตราย
(ผู้ต้องขัง) อันเกิดจากสภาพบีบคั้น หรือทนได้ยากทางสังคม การเมือง
ความเหลื่อมล้ำทั้งแง่การครอบครองและเข้าถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจ
ตลอดจนความเท่าเทียมกันทางรายได้และการกระจายโอกาส
ตกตะกอนนอนแน่นิ่งอยู่ที่ปลายทางของท่อน้ำทิ้งกว่า 240,000
คน (มกราคม 2556) ที่อัตคัดการเหลียวแลและเอาใจใส่จากทั้งฝ่ายการเมือง
ภาครัฐและสังคมอย่างจริงจัง ย่อมขาดซึ่งทรัพยากรที่เพียงพอต่อการ “แก้ไข
ฟื้นฟูและพัฒนา” ทว่ากลับคาดหวังให้บ่อน้ำทิ้ง ทำหน้าที่เป็นบ่อบำบัดน้ำเสีย
เพื่อส่งต่อน้ำดีอันอุดมด้วยออกซิเจนกลับคืนสู่แหล่งน้ำธรรมชาติ
ในสภาพที่ใกล้เคียง หรือดีเสมอกัน ก่อนกลายเป็นน้ำร้ายแต่หลงลืมไปว่าขณะที่กระบวนการบำบัดได้ขับเคลื่อนอยู่นั้น
น้ำเสียทิ้งปลายท่อก็ยังไม่หยุดไหลมาจากต้นทางอันยาวไกล
ไกลจนจับไม่ได้เช่นเดียวกันว่าใครเป็นต้นเหตุ
ลืมไปว่าอะไรกันแน่ที่มีส่วนร่วมในการสร้างและก่อให้เกิด “ความสกปรกและภยันตราย”
อีกทั้งพร้อมใจกันผลิตซ้ำ (Reproduction) ทัศนคติและความเชื่อที่ว่า
“น้ำยังคงเสีย สร้างความเดือดร้อนต่อสังคมและประชาชน
เพราะหน่วยงานบำบัดขาดประสิทธิภาพ”
เป็นท่วงทำนองปัดสวะความรับผิดชอบไปที่หน่วยงานปลายท่อ
จึงยังคงได้รับการกล่าวอ้างและใช้เป็นคำตอบสุดท้ายมาอย่างต่อเนื่อง
สำหรับสังคมที่ชมชอบซุกขยะใต้พรมหรือปัดฝุ่นผงให้พ้นบ้านตน ร่วมกับความพยายามหา
“แพะ” ซึ่งหมายถึงการหันเหความสนใจออกจากปัญหาสังคมอันรุนแรงที่กำลังเผชิญอยู่
(จอห์น เออร์วิน:209) รุนแรงอย่างไร ? พิจารณาจากสิ่งใด?
ผู้เขียนอ้างคำกล่าวของ Fyodor Dostoyevsky ประพันธกรผู้ยิ่งใหญ่ชาวรัสเซีย
“เราตัดสินระดับอารยธรรมในแต่ละสังคมได้จากสภาพเรือนจำ” (ริชาร์ด วิลกินสัน
และ เคท พิคเกตต์ : 199) กล่าวคือ สภาพเรือนจำของบ้านเรา
เป็นอย่างไร ย่อมสามารถชี้วัดระดับอารยธรรมของสังคมเราได้ตามสภาพนั้น ดังนั้น
ในฐานะที่องค์ประกอบต่างๆในสังคม มีส่วนในการสร้างอารยธรรมดังกล่าวขึ้นมา
จึงต้องรับผิดชอบร่วมกัน !
ไม่ใช่ทิ้งภาระให้กรมราชทัณฑ์ เพียงลำพัง
เอกสารอ้างอิง
กรมราชทัณฑ์.2555.เอกสารร่างแผนทิศทางกรมราชทัณฑ์
ฉบับที่ 3 พ.ศ.2554-2558.
(อัดสำเนา)
นิธิ เอียวศรีวงศ์.2546.ไฮเทคคาถาปาฏิหาริย์.สำนักพิมพ์มติชน.กรุงเทพมหานคร
ริชาร์ด
วิลกินสัน และ เคท พิคเกตต์.“การจองจำและการลงโทษ” น.199 ความไม่เท่าเทียม.
สำนักพิมพ์โอเพ่นเวิร์ล.กรุงเทพมหานคร
Harrah's Lake Tahoe Resort & Casino - JTM Hub
ตอบลบWelcome to Harrah's 청주 출장샵 Lake 충주 출장안마 Tahoe Resort & Casino, the premier casino resort destination on the South 진주 출장마사지 Shore. Nestled among pristine 정읍 출장안마 mountain stands, this towering oasis 익산 출장마사지
hr798 replica bags designer zb718
ตอบลบ