คลังบทความของบล็อก

วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2557

นิยัตินิยม (Determinism) : กับการคืน “คนดี”สู่สังคม



* มานะ  วินทะไชย  


          เป้าหมายสูงสุดของงานราชทัณฑ์ คือการส่งมอบ คนดี ภายหลังผ่านกระบวนการควบคุม แก้ไขและพัฒนาพฤตินิสัยที่เชื่อว่าได้มาตรฐานให้แก่สังคม แต่ปัญหาที่เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความล้มเหลวของกระบวนการและบั่นทอนความเชื่อมั่นต่อประสิทธิภาพการปฏิบัติงานขององค์กรในสายตาของรัฐและสังคม คือ การกลับมากระทำผิดซ้ำของผู้พ้นโทษ ซึ่งบอกกล่าวและอ้างอิงกันมายาวนานว่า เหตุหลักประการหนึ่ง คือ ความไม่เชื่อมั่นและการไม่ได้รับโอกาสจากภาครัฐและสังคม ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงาน การประกอบอาชีพ การมีสิทธิในสวัสดิการ การได้รับบริการด้านต่างๆ แต่ผู้พ้นโทษก็มักถูกจำกัดสิทธิ ผ่านระเบียบ กฎหมาย การเลือกปฏิบัติภายใต้มาตรฐานที่แตกต่าง ทั้งนี้ในความเห็นของผู้เขียน มีชุดความคิด ความเชื่อที่อยู่เบื้องหลังและผลักดันการปฏิบัติของรัฐและสังคมต่อผู้พ้นโทษ ที่เรียกว่า นิยัตินิยม (Determinism)
 
          นิยัตินิยม คือ การอธิบายแบบมีเหตุ ที่ทำให้เกิดผล ซึ่งทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่างๆ โดยการอธิบายจะมีคำตอบ หรือคำอธิบายกำหนดล่วงหน้าตายตัวอยู่แล้วในมิติเดียว โดยไม่คำนึงถึงความซับซ้อนหลากหลายที่มีอยู่ในปรากฏการณ์ต่างๆร่วมด้วย (เอก,2550:95

รัฐไทยมีชุดความเชื่ออย่างไร รัฐไทยที่มีโครงสร้างรัฐแบบรวมศูนย์ไว้ที่ศูนย์กลาง เพื่อรองรับระบอบอำนาจนิยม(เสกสรรค์,2554:91) กำหนดทุกอย่างภายใต้อุดมการณ์ ความสงบเรียบร้อยของสังคม และความมั่นคงแห่งรัฐ การกระทำใดที่ขัดหรือแย้งต่ออุดมการณ์ดังกล่าว ถือเป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐและจำเป็นต้องจัดการให้อยู่ในกรอบ

          ในส่วนของสังคมตามรัฐ ภายใต้อุดมการณ์ข้างต้น โดยเชื่อว่า คนดี คือคนที่อยู่ภายใต้แนวทางที่รัฐกำหนด ไม่ละเมิดกฎเกณฑ์ของรัฐและทำร้ายสังคม

          ผู้ต้องขัง คือ ผู้ที่ทำลายกรอบนิยัตินิยมของทั้งรัฐและสังคมโดยสิ้นเชิง จึงเป็นที่มาของการเพ่งเล็ง เฝ้าระวัง บนพื้นฐานของความไม่เชื่อใจ ไม่ไว้วางใจ ประกอบกับรัฐและสังคมตกอยู่ใต้กับดักความคิดที่ว่า อดีตกำหนดปัจจุบันและตัดสินอนาคต กล่าวคือ ในอดีต ผู้ต้องขังคือผู้ที่ทำลายระเบียบ ข้อบังคับของรัฐ กฎเกณฑ์ของสังคม แม้ปัจจุบันจะกล่าวอ้างถึงความเป็นคนดีที่ผ่านกระบวนรับรอง แต่ก็ไม่แน่ใจในประสิทธิภาพของกระบวนการขัดเกลา และในอนาคต ก็มีแนวโน้มที่จะกระทำผิดซ้ำอีก ทั้งนี้ หาได้นำปัจจัยอื่นมาพิจารณาร่วมด้วย เช่น ความเชื่อ ความคิด ความรู้ ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ และพื้นฐานครอบครัว    เป็นต้น 

นอกจากนี้ วาทกรรมที่กล่อมเกลาความเชื่อของรัฐและสังคมที่ว่า คนทำผิด ไม่มีทางแก้ไข ผู้ต้องขังอันตรายและไม่น่าไว้วางใจ” “คนทำผิด ไม่มีวันกลับตัวกลับใจได้ อีกทั้งสื่อสารมวลชนทุกแขนงก็มักประโคมข่าวอาชญากรรมร้ายแรงของผู้ที่เพิ่งพ้นโทษออกมาจากเรือนจำ ยิ่งเป็นการตอกย้ำ ความคิด ความเชื่อ จนยากจะไถ่ถอน ให้กลับมาเชื่อมั่นในศักยภาพของมนุษย์ที่สามารถพัฒนาสู่ความเป็นคนดี แม้ว่าจะผ่านกระบวนการแก้ไขมา 100 วิธี หรือ 1,000 โปรแกรมก็ตาม
 
เมื่อเป็นเช่นนี้ คนดี ที่เป็นผลผลิตของงานราชทัณฑ์จะถูกกีดกันออกจากพื้นที่ศูนย์กลางของรัฐและสังคม กลายเป็นคนชายขอบ ผู้ด้อยโอกาส ที่ปราศจากอำนาจต่อรอง เพื่อเรียกร้องปัจจัยพื้นฐานและการบริการของรัฐ ที่คนในประเทศจะพึงมีพึงได้ เช่น การประกอบอาชีพ ในสังกัดหน่วยงานภาครัฐและองค์กรเอกชน  การรับสวัสดิการและบริการที่เป็นสิทธิ ในฐานะพลเมืองของประเทศ หาใช่การรับการสงเคราะห์ ที่ต้องสำนึกในพระคุณอย่างที่ปฏิบัติกันอยู่ เป็นต้น ก็ย่อมมีความโน้มเอียงในการละเมิดกฎ ระเบียบ และทำร้ายสังคม ตั้งแต่ความผิดเล็กน้อย ไปจนถึงอาชญากรรมร้ายแรง

ทั้งนี้ หากรัฐและสังคมจะได้มองข้ามนิยัตินิยม โดยพิจารณาปัจจัยอื่นร่วมด้วย ในมิติการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ประเพณี วัฒนธรรมและเทคโนโลยี กล่าวคือทำความเข้าใจปัจจัยพื้นฐานและความเกี่ยวข้องรอบด้าน ก่อนที่จะกำหนดหรือตัดสินใจในตัวตนและการกระทำใดๆ ของผู้พ้นโทษ จะพบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นปัญหาของเราร่วมกันของทุกภาคส่วน หาใช่ของฝ่ายใด กลุ่มใด แต่เพียงอย่างเดียว ใช่หรือไม่ว่ารัฐและสังคม ก็มีส่วนในการผลักไส บีบคั้น ไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม ให้เขาเหล่านั้นกลายเป็นผู้กระทำผิด แล้วเหตุใดจึงไม่ลองหยิบยื่นโอกาสด้วยมุมมองใหม่

เอกสารอ้างอิง
 
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล.2554.เปลี่ยนประเทศไทยด้วยพลังพลเมือง ยุติการเมืองแบบหางเครื่อง.
             ปราชญ์ สำนักพิมพ์. กรุงเทพมหานคร
เอก ตั้งทรัพย์วัฒนา.2550.คำและความคิดในรัฐศาสตร์ร่วมสมัย.สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์              มหาวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

น้อมรับข้อคิดเห็นครับ