คลังบทความของบล็อก

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ธรรมาภิบาล (ศีลธรรมภาครัฐ) : ความย้อนแย้งของหลักธรรมกับการนำไปปฏิบัติ



* มานะ  วินทะไชย  

อภิมหาพรรณนา (Grand Narrative) ของพุทธศาสนาที่ปกคลุม ครอบงำสังคมไทย ส่งผลให้ “หลักศีลธรรม” เป็นคำอธิบายและคำตอบที่ครอบจักรวาลและสามารถใช้เสมือนเป็นแก้วสารพัดนึกสำหรับจัดการกับปัญหาต่างๆในสังคม กล่าวคือ เด็กวัยรุ่นติดยาเสพติดหรือมีเพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร ก็อธิบายว่าเพราะศีลธรรมเสื่อม  โจรผู้ร้ายชุกชุมก็เพราะศีลธรรมตกต่ำ ซ่องโสเภณี บ่อนการพนันเกลื่อนกลาดก็เพราะคนไร้ศีลธรรม ข้าราชการ นักการเมืองรับสินบน ยักยอกเบียดบังเงินหลวงก็เพราะขาดคุณธรรมและพร่องศีลธรรม พ่อค้าและนายทุนเอารัดเอาเปรียบประชาชน ค้ากำไรเกินเหตุ ก็เพราะไร้ศีลธรรม เมื่อนำศีลธรรมมาเป็นแก้วสารพัดนึกใช้อธิบายทุกปัญหาในสังคมเสียแล้ว ศีลธรรมจึงกลายเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ใช้แก้ปัญหา ทุกปัญหาในสังคม (ชูศักดิ์,2555:110)

หลักคิดดังกล่าวยังแผ่อิทธิพลมายังระบบราชการไทยที่มองเข้ามาเมื่อใดก็เห็นแต่ปัญหาความไร้ประสิทธิภาพของระบบ ความไม่มีสมรรถนะของคน  ความล้มเหลวของกลไกหลักในการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาประเทศ เหตุทั้งนี้ก็เพราะระบบราชการไทยไม่มีหลักศีลธรรมเป็นเครื่องประกอบในการปฏิบัติงาน หรือไม่มีธรรมาภิบาล ผลที่ตามมาคือ ระบบราชการไทยไร้ประสิทธิภาพในทุกมิติ จึงมีความพยายามที่จะยัดเยียด “ศีลธรรม” เข้าไว้ในหลักการปฏิบัติงาน โดยเชื่อว่าจะทำให้ปัญหาหมดไป ระบบการทำงานจะดีขึ้น ฟื้นฟูประสิทธิภาพ และเรียกความเชื่อมั่นของสังคมและประชาชนต่อระบบราชการไทยกลับคืนมา

ปี พ.ศ.2542 ได้มีการออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการสร้างระบบบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ประกอบด้วยหลักธรรมเพื่อการพัฒนาประเทศ 6 ประการ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักคุณธรรม หลักความโปร่งใส หลักความมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบและหลักความคุ้มค่า

ปี พ.ศ.2546 ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ประกอบด้วยหลักธรรมเพื่อให้ข้าราชการหรือส่วนราชการปฏิบัติราชการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย
1. การบริหารราชการเพื่อประโยชน์สุขของประชาชน
2. การบริหารราชการเพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ต่อภารกิจภาครัฐ
3. การบริหารราชการอย่างมีประสิทธิภาพ
4. การลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน
5. การปรับปรุงภารกิจของส่วนราชการ
6. การอำนวยความสะดวกและการตอบสนองความต้องการของประชาชน
7. การประเมินผลการปฏิบัติราชการ

หลักการต่างๆ ที่กำหนดโดยระเบียบสำนักนายกฯ และโดยพระราชกฤษฎีกาฯดังกล่าว เป็นกรอบ
แนวทางการปฏิบัติราชการทั้งของข้าราชการและทุกส่วนราชการ ที่เรียกว่า “ธรรมาภิบาล”ซึ่งเชื่อว่าหากยึดถือและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดแล้ว จะทำให้ระบบราชการไทยมีประสิทธิภาพ ประชาชนได้รับบริการที่ดีจากรัฐ ด้วยการบริหารราชการที่ดำเนินไปอย่างมีแผน มีขั้นตอนที่เหมาะสม สามารถวัดผลสัมฤทธิ์ของการปฏิบัติงานได้อย่างชัดเจนและคุ้มค่าใช้จ่าย กล่าวได้ว่า นับจากนี้ไปปัญหาใจกลางของระบบราชการไทยที่จะมีหรือไม่มีประสิทธิภาพ แขวนไว้กับการดำรงและรักษาไว้ ซึ่งธรรมาภิบาล อันจะส่งผลต่อความดีขึ้นหรือเลวลงของบริการที่ประชาชนจะได้รับจากภาครัฐ
 
          การแปลงศีลธรรมของภาครัฐในรูปธรรมาภิบาลไปสู่การปฏิบัติ ด้วยหลักนิยมของการจัดทำแผนยุทธศาสตร์หรือแผนปฏิบัติการ จะเห็นได้ว่าหมุดหมายสำคัญของแผน เริ่มต้นที่วิสัยทัศน์ในฐานะนามธรรมสูงส่ง คล้ายหลักธรรมสำหรับการเกาะเกี่ยวของข้าราชการเพื่อปฏิบัติงานสู่เป้าหมายยิ่งใหญ่ร่วมกัน
          คำถามคือวิสัยทัศน์ในแผนของส่วนราชการต่างๆในปัจจุบัน สามารถเป็นสิ่งแทนความต้องการและนำไปสู่การบรรลุฝั่งฝันได้จริงหรือไม่

          วิสัยทัศน์ที่ทำๆกันตามองค์กรต่างๆมีอยู่หลายแบบ แต่สามารถจัดประเภทได้เป็นกลุ่มๆ คือ
1. วิสัยทัศน์ว่าตามนาย คือ นายไปเข้าหลักสูตรผู้บริหารเกิดจุดประกายกับแนวคิดอะไร ก็เอาไป
แต่งเป็นวิสัยทัศน์
2. วิสัยทัศน์แบบสมัยนิยมฟุ้งเฟ้อ ที่ทุกองค์กรต้องการเป็นเลิศและอยากเป็นระดับโลกกันหมด
3. วิสัยทัศน์แบบคำขวัญวันเด็ก เน้นสัมผัสนอกสัมผัสในให้คล้องจองเป็นหลัก
4. วิสัยทัศน์แบบศัพทานุกรม เน้นการรวบรวมคำใหญ่ๆทั้งหลายที่ฟังดูดีมาแต่งเป็นวิสัยทัศน์

        กระบวนการได้มาซึ่งวิสัยทัศน์ที่นิยมกันมาก คือกระบวนการสร้างวิสัยทัศน์เฉลี่ยแบบสมานฉันท์ วิธีง่ายๆ คือจัดประชุมผู้ที่เกี่ยวข้อง โดยเชิญวิทยากรกระบวนการมานำประชุม แจกกระดาษแผ่นเล็กๆให้ทุกคนเขียนในสิ่งที่ต้องการให้องค์กรเป็น นำเอาบัตรคำเหล่านั้นมาเรียงสลับกันไปมาแล้วพยายามต่อคำต่างๆที่ได้มาให้เป็นวลี ด้วยคำเชื่อม และ-หรือ-ที่-ซึ่ง-อัน-ทั้ง-เพื่อ-โดย ให้พอสื่อความหมายได้ ก็จะได้วิสัยทัศน์เฉลี่ยแบบสมานฉันท์ (โกมาตร,2552:19) ที่ยึดโยงถึงความสามารถที่จะนำพาองค์กรสู่ความเป็นธรรมาภิบาลได้ในรูปแบบที่ทุกคนพอใจ มักจะมีคำประเภท เป็นเลิศ-เป็นหลัก-ได้มาตรฐาน-ชั้นนำ-ประสิทธิภาพ-ประสิทธิผล-บูรณาการ-ความเป็นธรรม –นิติธรรม-ชาติมั่นคง-ประชาชนมั่งคั่ง-สมดุล-ยั่งยืน-ทันสมัย-เชื่อถือได้ เพื่อให้ข้าราชการและทุกส่วนราชการยึดถือและปฏิบัติตามประดุจหลักศีลธรรมที่ประชาชนผู้นับถือพุทธพึงปฏิบัติโดยเคร่งครัดหากต้องการได้ชื่อว่าเป็นศาสนิกอันประเสริฐ

          แต่ในความเป็นจริงแล้ววิสัยทัศน์ประเภทนี้เป็นวิสัยทัศน์แบบปรนัยที่มีไว้ท่องจำ ไม่ต่างอะไรกับการเรียน การสอนและการสอบปรนัย ใครจะเลื่อนขึ้น จะประเมินความดีความชอบ หรือองค์กรจะผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐาน เจ้าหน้าที่ทุกคนต้องท่องวิสัยทัศน์องค์กรให้ได้ เฉกเช่นการเป็นคนดีของสังคมใด ก็จำเป็นที่จะต้องแม่นในหลักธรรมที่สังคม ชุมชนนั้นยึดถือ

          เมื่อนำวิสัยทัศน์ที่ไร้ความหมายมากำหนดเป็นพันธกิจบ้าง ยุทธศาสตร์บ้าง แผนปฏิบัติการ และตัวชี้วัดการประเมินผลบ้าง สิ่งเหล่านี้กลายเป็นแค่แบบฟอร์มที่ต้องกรอกเพื่อให้มีส่งตามข้อกำหนดฝ่ายบริหารหรือหน่วยงานสั่งการ (กระทรวงเจ้าสังกัด กพร. สำนักงบประมาณ) 

          คนในองค์กรเหล่านี้ใช้เวลาของชีวิตจำนวนมาก สิ้นเปลืองไปกับการกรอกแบบฟอร์มที่ตนเองก็ไม่รู้ว่ามีความหมายอะไร หรือที่เลวร้ายกว่านั้นก็คือกรอกข้อมูลที่รู้อยู่แก่ใจว่าไม่ใช่ความจริง หาประโยชน์อะไรแทบไม่ได้ เพราะเป็นแค่สิ่งที่ปั้นแต่งขึ้นให้มีตัวเลขพอได้กรอกรายงานให้ได้ชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเติมเต็มธรรมาภิบาลในองค์กรแต่เมื่อผลการประเมินปรากฏออกมาส่วนราชการโดยมากมักได้คะแนนประเมินในระดับสูงที ร้อยละ 90 ขึ้นไป สามารถอ่านจากตัวเลขได้ว่าส่วนราชการเหล่านั้นล้วนแต่มีการปฏิบัติงานเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาภายใต้ภารกิจที่รับผิดชอบได้อย่างมีประสิทธิภาพ  แท้จริง ย่อมส่งผลต่อการระดับการพัฒนาประเทศที่ดีขึ้นในภาพรวม

          การณ์กลับปรากฏว่า ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ความมั่นคงของประเทศยังคงอยู่และทวีความหนักหน่วงมากขึ้นทุกวัน มันสวนทางกับผลการประเมินธรรมาภิบาลที่แสดงออกผ่านความสามารถในการบรรลุวิสัยทัศน์และการผ่านเกณฑ์ชี้วัดประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของส่วนราชการต่างๆ โดยช่องทางแผนยุทธศาสตร์ระดับต่างๆ ที่ได้คะแนนประเมินในระดับสูง
  
          ด้วยเหตุที่กล่าวมา ใช่หรือไม่ว่าเราไม่อาจคาดหวังถึงประสิทธิภาพของการปฏิบัติราชการภายใต้แผนยุทธศาสตร์หรือแผนปฏิบัติการที่มีวิสัยทัศน์เป็นธงนำและมีตัวชี้วัดที่ทำกันในปัจจุบันเป็นกลไกขับเคลื่อนได้อย่างแท้จริง เช่นเดียวกับการที่สังคมไทยพยายามอธิบายทุกเรื่องด้วยกรอบศีลธรรม โดยไม่เห็น ไม่เข้าใจเงื่อนไขและปัจจัยอันซับซ้อนทางเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรมที่เอื้อให้เกิดปัญหาต่างๆในสังคม ในทำนองเดียวกันกับระบบราชการไทยที่ใช้ธรรมาภิบาลเป็นยาครอบจักรวาลที่เชื่อว่าแก้ไขได้ทุกเรื่อง ทุกหน่วยงานจะต้องมีแผนเป็นแหล่งอ้างอิงและเป็นธงนำคล้ายเป็นแก้วสารพัดนึกที่จะเยียวยาทุกอุปสรรคได้ทั้งหมด โดยละเลยปัจจัยอันซับซ้อนของระบบราชการและโครงสร้างและอาณาจักรอันใหญ่โต การแทรกแซงของฝ่ายการเมือง การเพิกเฉยต่อการมีส่วนร่วมของสังคม วัฒนธรรมอำนาจนิยมแบบอุปถัมภ์ที่มุ้งเน้นประโยชน์ตนและพร้อมที่จะละเลยความถูกต้องและประการสุดท้ายวิสัยทัศน์และตัวชี้วัดได้รับการประเมินค่าจากส่วนราชการเป็นเพียงแบบฝึกหัดทางวิชาการที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง อีกทั้งเป็นภาระที่จำเป็นต้องทำเพื่อความครบถ้วนของกระบวนการรายงาน หาใช่เป้าหมายสูงสุดและมาตรฐานที่คนในองค์กรต้องพร้อมใจกันขับเคลื่อนให้บรรลุผล

          หากสังคมไทยจะเรียกร้องหาศีลธรรมเพื่อให้ศีลธรรมมาช่วยแก้ปัญหาและเป็นแพะรับบาปกับทุกปัญหาในสังคม มันก็คล้ายกับการเรียกร้องธรรมาภิบาลให้เป็นหลุมดำรองรับปัญหาและเป็นยาวิเศษแห่งความหวังในการแก้ไขปัญหาของระบบราชการไทย ท้ายที่สุดปัญหาสังคมยังคงอยู่คู่กับศีลธรรม เคียงข้างกับปัญหาในระบบราชการไทยที่อยู่คู่กับธรรมาภิบาล แท้จริงแล้วเป็นเพราะปัญหามันใหญ่โตเกินกำลังของเครื่องมือ หรือเราใช้เครื่องมือไม่เป็น และไม่สนใจ

         
เอกสารอ้างอิง

โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์. องค์กรปรนัย ตัวชีวัดและวิสัยทัศน์แบบสมานฉันท์. นิตยสารเวย์ ฉบับที่ 30
ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์.2555. “ยุคเปลี่ยนผ่านวรรณกรรมไทย วรรณกรรมไทยยุคเปลี่ยนผ่าน” น.110  
จากสยามยามเปลี่ยนไม่ผ่าน. สำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกัน.นนทบุรี
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี พ.ศ.2546

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

น้อมรับข้อคิดเห็นครับ