คลังบทความของบล็อก

วันจันทร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2557

หน่วยงานภาครัฐกับความพยายามปฏิบัติงานในแนวทาง “สังคมร่วมรัฐ” ภายใต้อุดมการณ์ “รัฐล้อมสังคม”



* มานะ  วินทะไชย  


          เมื่อพิจารณาตามกรอบเครื่องมือการบริหารจัดการองค์กร 4 M ที่แม้ว่าจะโบราณสักหน่อยในการสำรวจตรวจสอบไปในทุกองค์กรจะพบแต่ความขาดแคลน และไม่เพียงพอต่อปัจจัยสำคัญต่อการบริหารจัดการให้สำเร็จ กล่าวคือ
          ขาดคน (Man) คนไม่พอกับปริมาณงานที่มาก หรืองานล้นคนล้นมือ โดยไม่เคยปรากฏว่าคนล้นงาน
          ขาดเงิน (Money) งบประมาณก็คล้ายทะเล ที่ไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟที่ไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อฉันใด หน่วยงานภาครัฐ ก็ไม่เคยจุใจด้วยงบประมาณฉันนั้น
          ขาดวัสดุ อุปกรณ์ (Material) ที่ต้องจัดหาให้เพียงพอ และก้าวตามทันต่อสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่เสมอ

          ด้วยเหตุดังกล่าว หลักคิดในการบริหารจัดการ (Management) เพื่อแก้ปัญหาก็มักนำเสนอว่าภายใต้ความจำกัด ความไม่มากพอของปัจจัยที่จะนำมาซึ่งการทำงานให้สำเร็จดังกล่าว จำเป็นต้องใช้    แนวทางการแสวงหาความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคมและประชาชน มาช่วยเหลือ หนุนเสริม ระดมพลัง ทั้งความคิด สติปัญญาและทรัพยากรรูปแบบต่างๆ เพื่อบรรเทาความขาดแคลนขององค์กร ที่เรียกว่า เป็นการทำงานแบบมีส่วนร่วม สร้างเครือข่ายพันธมิตรและบูรณาการการทำงานร่วมกัน ประกอบกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น โดยส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียรับทราบ รู้เห็นและยินยอมในการกำหนด พิจารณา ไต่สวนวาระสาธารณะ (พฤทธิสาน,2551:91)

          นอกจากนี้ ยังมีการแปรอุดมการณ์ให้เป็นรูปธรรม จับต้องได้ด้วยการกำหนดไว้เป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ เสมือนยุทธศาสตร์ชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2550 ในประเด็นเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง การวางแผนพัฒนา ไปจนถึงการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 87) โดยมิพักต้องกล่าวถึงแนวทางการปฏิบัติงานแบบบูรณาการ ภายใต้หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ที่ทุกส่วนราชการต้องยึดถือและปฏิบัติตาม ยิ่งมีส่วนช่วยหนุนเสริมให้ประชาชน รวมทั้งองค์กรภาคส่วนต่างๆ ตระหนักในสิทธิ ให้ความสำคัญและจำเป็นที่จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกัน กระทั่งตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ

          ส่วนราชการต่างๆ ตอบสนองอุดมการณ์ประชาธิปไตยและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นได้ชัดเจนที่สุด ด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์หน่วยงานภายใต้กรอบแนวคิดดังกล่าว เช่น  การพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชน  การส่งเสริมความร่วมมือของประชาชนในการพัฒนาการปฏิบัติงาน   การแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน   การทำงานแบบมีแนวร่วมและเครือข่าย  การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงาน และการจัดทำบันทึกความเข้าใจ (MOU)   ในการปฏิบัติงานร่วมกัน เป็นต้น
 
          แล้วการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของหน่วยงานภาครัฐกับภาคสังคมและประชาชน จะสามารถยกระดับการพัฒนาองค์กรได้จริงหรือ ?
          รัฐจะยอมวางมือจากสถานภาพการนำ แล้วยอมให้สังคมและประชาชนมาเดินคู่ขนานจริงหรือ ?

          อธิบายสภาพการณ์ดังกล่าวตามกรอบ ไตรลักษณรัฐ ได้ว่าเป็นความพยายามในการสร้างมิติ สังคมร่วมรัฐ เพื่อให้สังคม รวมถึงประชาชนอยู่ในฐานะที่มีความกล้าแข็ง ทัดเทียมกับอำนาจรัฐ ที่ทำได้แม้กระทั่งตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ หรือในการดำเนินกิจกรรมใดๆก็ตามของหน่วยงานรัฐ ตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เป็นความพยายามทำลายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม ในลักษณะ            รัฐเหนือสังคมซึ่งเดิมรัฐและกลไกของรัฐ ทั้งด้านกลไกการใช้กำลังบังคับและกลไกทางอุดมการณ์ เป็นฝ่ายครอบงำและกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากกว่าพลังทางสังคมและประชาชนจะเป็นฝ่ายครอบงำและกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลง (ชัยอนันต์,2535:201-202) หมายความว่าต่อจากนี้ไป สังคมและประชาชนจะเข้ามาประสานงานการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการกับรัฐและองค์กรภาครัฐ จนกระทั่งสามารถก้าวขึ้นเป็นพลังนำในการขับเคลื่อนสังคมและประเทศชาติ ตามอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ควรจะเป็น

โลกยุคโลกาภิวัตน์หรือโลกไร้พรมแดน ทุนและข้อมูล ข่าวสารสามารถผ่านเส้นกั้นพรมแดนมาได้อย่างเสรี อำนาจรัฐยิ่งมีประสิทธิภาพน้อยลงไปทุกที (สุวิทย์,2540:8) จะสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือเป็นเพียงมายาคติเมื่อใช้กับรัฐไทย ?
 โลกาภิวัตน์ จะสามารถย่อยสลายหรือทำลายอำนาจรัฐ แล้วผลักดันสังคมให้เข้ามาควบคุมรัฐราชการรวมศูนย์อำนาจมากกว่าหนึ่งร้อยปี (เสกสรรค์,2538:128) ได้จริงหรือ ?

ใช่หรือไม่ว่า รัฐไทย ที่มีโครงสร้างอำนาจรัฐแบบรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางผ่านกลไกหน่วยงานภาครัฐ ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับระบอบอำนาจนิยม จึงมีลักษณะเอารัฐเป็นตัวตั้งและสังคมเป็นตัวตาม            (เสกสรรค์,2554:91) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เป็น รัฐล้อมสังคม โดยรัฐเป็นแกนกลางการปกครองและเป็นแกนกลางของสังคมด้วย รัฐ โดยเครื่องมือ กลไกราชการ จึงเป็นผู้กำหนดบทบาทของสังคม บทบาทของทุกคนในสังคม กำหนดคุณค่าและความดีงามทั้งปวงด้วย (ชัยอนันต์,2538:5) และกำหนดไปถึง การมีส่วนร่วมของประชาชน (Guided participation) เป็นการมีส่วนร่วมแบบชี้นำ ทั้งรูปแบบ แนวคิด กระบวนการมีส่วนร่วมจะถูกกำหนดจากศูนย์อำนาจส่วนกลาง ให้มีส่วนกำหนดในบางเรื่อง ให้ร่วมดำเนินการในบางขั้นตอน

ดังนั้น สังคมร่วมรัฐ ภายใต้กิจกรรมประสานความร่วมมือในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐกับภาคสังคมและประชาชน ซึ่งก็ตกอยู่ภายใต้การชี้นำของรัฐด้วยเช่นกัน จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง อาจเป็นได้ก็เพียงผิวเผิน เป็นมายาคติของการมีส่วนร่วม ที่มักกำหนดในรูปของการวางแผน หรือกำหนดยุทธศาสตร์โดยปราศจากการร่วมคิด ร่วมสร้าง ร่วมตัดสินใจ ร่วมปฏิบัติและร่วมรับผิดชอบของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง จะมีบ้างก็เพียงกิจกรรมการประชุม/สัมมนาร่วมกัน  หรือการถ่ายภาพร่วมกันเพื่อเป็นหลักฐานการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทว่าไม่มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม ที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแต่อย่างใด

เหตุทั้งนี้ ก็เพราะว่าอำนาจการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในกระบวนการมีส่วนร่วมอยู่ที่รัฐราชการรวมศูนย์ หาใช่ภาคสังคม และประชาชน แต่อย่างใด
...เป็นการตัดสินใจว่าจะกระจายอำนาจ แบ่งปันอำนาจหรือความรับผิดชอบให้กับภาคส่วนอื่นมากน้อยเพียงใด
ตัดสินใจว่าจะร่วมมือกันทำงานกับภาคส่วนอื่นอย่างจริงจัง จริงใจเพียงใด

 
เอกสารอ้างอิง

ชัยอนันต์ สมุทวณิช .2535. รัฐ.สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.กรุงเทพมหานคร
ชัยอนันต์ สมุทวณิช .2538. ไตรลักษณรัฐกับการเมืองไทย.สำนักพิมพ์สุขุมและบุตร.กรุงเทพมหานคร
พฤทธิสาน ชุมพล.2551.คำและความคิดในรัฐศาสตร์ร่วมสมัย.สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
         กรุงเทพมหานคร
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550
สุวิทย์ วิบุลผลประเสริฐ .2540 .ประชาสังคมกับการพัฒนาสุขภาพ บทวิเคราะห์ทางวิชาการ. สำนักพิมพ์
         สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข.กรุงเทพมหานคร
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล.2538.วิพากษ์สังคมไทย.สำนักพิมพ์อมรินทร์.กรุงเทพมหานคร
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล.2554.เปลี่ยนประเทศไทยด้วยพลังพลเมือง ยุติการเมืองแบบหางเครื่อง.      
            ปราชญ์สำนักพิมพ์. กรุงเทพมหานคร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

น้อมรับข้อคิดเห็นครับ