*
มานะ วินทะไชย
เมื่อพิจารณาตามกรอบเครื่องมือการบริหารจัดการองค์กร
4 M ที่แม้ว่าจะโบราณสักหน่อยในการสำรวจตรวจสอบไปในทุกองค์กรจะพบแต่ความขาดแคลน
และไม่เพียงพอต่อปัจจัยสำคัญต่อการบริหารจัดการให้สำเร็จ กล่าวคือ
ขาดคน (Man)
คนไม่พอกับปริมาณงานที่มาก หรืองานล้นคนล้นมือ โดยไม่เคยปรากฏว่าคนล้นงาน
ขาดเงิน (Money) งบประมาณก็คล้ายทะเล ที่ไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟที่ไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อฉันใด
หน่วยงานภาครัฐ ก็ไม่เคยจุใจด้วยงบประมาณฉันนั้น
ขาดวัสดุ อุปกรณ์ (Material) ที่ต้องจัดหาให้เพียงพอ
และก้าวตามทันต่อสถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอยู่เสมอ
ด้วยเหตุดังกล่าว
หลักคิดในการบริหารจัดการ (Management)
เพื่อแก้ปัญหาก็มักนำเสนอว่าภายใต้ความจำกัด
ความไม่มากพอของปัจจัยที่จะนำมาซึ่งการทำงานให้สำเร็จดังกล่าว จำเป็นต้องใช้ แนวทางการแสวงหาความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ
ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคมและประชาชน มาช่วยเหลือ หนุนเสริม ระดมพลัง
ทั้งความคิด สติปัญญาและทรัพยากรรูปแบบต่างๆ เพื่อบรรเทาความขาดแคลนขององค์กร
ที่เรียกว่า เป็นการทำงานแบบมีส่วนร่วม
สร้างเครือข่ายพันธมิตรและบูรณาการการทำงานร่วมกัน
ประกอบกับอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่เปิดพื้นที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองมากขึ้น
โดยส่งเสริมให้ประชาชนผู้มีส่วนได้เสียรับทราบ รู้เห็นและยินยอมในการกำหนด พิจารณา
ไต่สวนวาระสาธารณะ (พฤทธิสาน,2551:91)
นอกจากนี้ ยังมีการแปรอุดมการณ์ให้เป็นรูปธรรม
จับต้องได้ด้วยการกำหนดไว้เป็นแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
เสมือนยุทธศาสตร์ชาติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักไทย พ.ศ.2550
ในประเด็นเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมของประชาชน
ที่รัฐต้องส่งเสริมและสนับสนุนให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง
การวางแผนพัฒนา ไปจนถึงการตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ (รัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา
87) โดยมิพักต้องกล่าวถึงแนวทางการปฏิบัติงานแบบบูรณาการ
ภายใต้หลักเกณฑ์และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี
ที่ทุกส่วนราชการต้องยึดถือและปฏิบัติตาม ยิ่งมีส่วนช่วยหนุนเสริมให้ประชาชน
รวมทั้งองค์กรภาคส่วนต่างๆ ตระหนักในสิทธิ ให้ความสำคัญและจำเป็นที่จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วมในการทำงานร่วมกัน
กระทั่งตรวจสอบการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ
ส่วนราชการต่างๆ ตอบสนองอุดมการณ์ประชาธิปไตยและบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญอย่างเป็นรูปธรรมและเห็นได้ชัดเจนที่สุด
ด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์หน่วยงานภายใต้กรอบแนวคิดดังกล่าว เช่น การพัฒนาการมีส่วนร่วมของประชาชน
การส่งเสริมความร่วมมือของประชาชนในการพัฒนาการปฏิบัติงาน การแสวงหาความร่วมมือจากทุกภาคส่วน การทำงานแบบมีแนวร่วมและเครือข่าย การจัดตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการปฏิบัติงาน และการจัดทำบันทึกความเข้าใจ
(MOU) ในการปฏิบัติงานร่วมกัน เป็นต้น
แล้วการบริหารงานแบบมีส่วนร่วมของหน่วยงานภาครัฐกับภาคสังคมและประชาชน
จะสามารถยกระดับการพัฒนาองค์กรได้จริงหรือ ?
รัฐจะยอมวางมือจากสถานภาพการนำ
แล้วยอมให้สังคมและประชาชนมาเดินคู่ขนานจริงหรือ ?
อธิบายสภาพการณ์ดังกล่าวตามกรอบ “ไตรลักษณรัฐ” ได้ว่าเป็นความพยายามในการสร้างมิติ “สังคมร่วมรัฐ” เพื่อให้สังคม รวมถึงประชาชนอยู่ในฐานะที่มีความกล้าแข็ง
ทัดเทียมกับอำนาจรัฐ ที่ทำได้แม้กระทั่งตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ
หรือในการดำเนินกิจกรรมใดๆก็ตามของหน่วยงานรัฐ ตามที่ได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ
เป็นความพยายามทำลายความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับสังคม ในลักษณะ “รัฐเหนือสังคม”ซึ่งเดิมรัฐและกลไกของรัฐ
ทั้งด้านกลไกการใช้กำลังบังคับและกลไกทางอุดมการณ์
เป็นฝ่ายครอบงำและกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมมากกว่าพลังทางสังคมและประชาชนจะเป็นฝ่ายครอบงำและกำหนดทิศทางการเปลี่ยนแปลง
(ชัยอนันต์,2535:201-202) หมายความว่าต่อจากนี้ไป สังคมและประชาชนจะเข้ามาประสานงานการทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการกับรัฐและองค์กรภาครัฐ
จนกระทั่งสามารถก้าวขึ้นเป็นพลังนำในการขับเคลื่อนสังคมและประเทศชาติ
ตามอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่ควรจะเป็น
โลกยุคโลกาภิวัตน์หรือโลกไร้พรมแดน
ทุนและข้อมูล ข่าวสารสามารถผ่านเส้นกั้นพรมแดนมาได้อย่างเสรี อำนาจรัฐยิ่งมีประสิทธิภาพน้อยลงไปทุกที
(สุวิทย์,2540:8) จะสามารถเกิดขึ้นได้จริงหรือเป็นเพียงมายาคติเมื่อใช้กับรัฐไทย ?
โลกาภิวัตน์
จะสามารถย่อยสลายหรือทำลายอำนาจรัฐ
แล้วผลักดันสังคมให้เข้ามาควบคุมรัฐราชการรวมศูนย์อำนาจมากกว่าหนึ่งร้อยปี
(เสกสรรค์,2538:128) ได้จริงหรือ ?
ใช่หรือไม่ว่า
รัฐไทย ที่มีโครงสร้างอำนาจรัฐแบบรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลางผ่านกลไกหน่วยงานภาครัฐ
ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับระบอบอำนาจนิยม
จึงมีลักษณะเอารัฐเป็นตัวตั้งและสังคมเป็นตัวตาม (เสกสรรค์,2554:91) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เป็น “รัฐล้อมสังคม”
โดยรัฐเป็นแกนกลางการปกครองและเป็นแกนกลางของสังคมด้วย รัฐ
โดยเครื่องมือ กลไกราชการ จึงเป็นผู้กำหนดบทบาทของสังคม บทบาทของทุกคนในสังคม
กำหนดคุณค่าและความดีงามทั้งปวงด้วย (ชัยอนันต์,2538:5)
และกำหนดไปถึง “การมีส่วนร่วมของประชาชน” (Guided participation) เป็นการมีส่วนร่วมแบบชี้นำ
ทั้งรูปแบบ แนวคิด กระบวนการมีส่วนร่วมจะถูกกำหนดจากศูนย์อำนาจส่วนกลาง
ให้มีส่วนกำหนดในบางเรื่อง ให้ร่วมดำเนินการในบางขั้นตอน
ดังนั้น
“สังคมร่วมรัฐ” ภายใต้กิจกรรมประสานความร่วมมือในการปฏิบัติงานของหน่วยงานภาครัฐกับภาคสังคมและประชาชน
ซึ่งก็ตกอยู่ภายใต้การชี้นำของรัฐด้วยเช่นกัน จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง
อาจเป็นได้ก็เพียงผิวเผิน เป็นมายาคติของการมีส่วนร่วม ที่มักกำหนดในรูปของการวางแผน
หรือกำหนดยุทธศาสตร์โดยปราศจากการร่วมคิด ร่วมสร้าง ร่วมตัดสินใจ
ร่วมปฏิบัติและร่วมรับผิดชอบของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างจริงจัง
จะมีบ้างก็เพียงกิจกรรมการประชุม/สัมมนาร่วมกัน
หรือการถ่ายภาพร่วมกันเพื่อเป็นหลักฐานการทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ทว่าไม่มีผลในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม
ที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นแต่อย่างใด
เหตุทั้งนี้
ก็เพราะว่าอำนาจการตัดสินใจขั้นสุดท้ายในกระบวนการมีส่วนร่วมอยู่ที่รัฐราชการรวมศูนย์
หาใช่ภาคสังคม และประชาชน แต่อย่างใด
...เป็นการตัดสินใจว่าจะกระจายอำนาจ
แบ่งปันอำนาจหรือความรับผิดชอบให้กับภาคส่วนอื่นมากน้อยเพียงใด
ตัดสินใจว่าจะร่วมมือกันทำงานกับภาคส่วนอื่นอย่างจริงจัง
จริงใจเพียงใด
เอกสารอ้างอิง
ชัยอนันต์
สมุทวณิช .2535. รัฐ.สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.กรุงเทพมหานคร
ชัยอนันต์
สมุทวณิช .2538. ไตรลักษณรัฐกับการเมืองไทย.สำนักพิมพ์สุขุมและบุตร.กรุงเทพมหานคร
พฤทธิสาน
ชุมพล.2551.คำและความคิดในรัฐศาสตร์ร่วมสมัย.สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
กรุงเทพมหานคร
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พ.ศ.2550
สุวิทย์
วิบุลผลประเสริฐ .2540 .ประชาสังคมกับการพัฒนาสุขภาพ บทวิเคราะห์ทางวิชาการ.
สำนักพิมพ์
สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข.กรุงเทพมหานคร
เสกสรรค์
ประเสริฐกุล.2538.วิพากษ์สังคมไทย.สำนักพิมพ์อมรินทร์.กรุงเทพมหานคร
เสกสรรค์
ประเสริฐกุล.2554.เปลี่ยนประเทศไทยด้วยพลังพลเมือง ยุติการเมืองแบบหางเครื่อง.
ปราชญ์สำนักพิมพ์. กรุงเทพมหานคร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
น้อมรับข้อคิดเห็นครับ