คลังบทความของบล็อก

วันพุธที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2557

งานราชทัณฑ์” ในสายตา มาร์กซิสม์ (Marxism)




* มานะ  วินทะไชย  

           จากการตรวจสอบปรัชญาการเมืองสายสังคมนิยม สำนักความคิด Marxism ยังไม่มีนักปรัชญาการเมืองท่านใด กล่าวถึงความเกี่ยวข้องกับงานราชทัณฑ์ไว้อย่างเป็นการเฉพาะ หากแต่ได้กล่าวถึงเป็นภาพรวมของสังคม-การเมืองที่เคลื่อนไหวและเป็นไป ในฐานะกลไกและองคาพยพหนึ่ง ภายใต้ความกว้างใหญ่และซับซ้อนในนามของ รัฐ โดยผู้เขียนได้นำแนวความคิดโครงสร้างทางสังคมส่วนบน-ล่าง ของนัก ปรัชญาการเมืองสำนัก Marxism 2 ท่าน มาอธิบายประกอบทัศนะต่องานราชทัณฑ์ ดังนี้


          นักปรัชญาท่านแรกเป็นต้นตระกูลสำนักคิด Marxism คือ Karl Marx (1818-1883)  ผู้เชื่อมั่นว่า ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติหาใช่สิ่งอื่นใด แต่มันคือประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ทางชนชั้น และเมื่อใดที่ชนชั้นล่าง หรือผู้ใช้แรงงาน สามารถเอาชนะชนชั้นนายทุนผู้ขูดรีด แล้ว รัฐจะปราศจากหรือหายไป ทุกคนจะเท่าเทียมกันทางสังคม ทั้งด้านการเข้าถึงทรัพยากร การกระจายผลผลิต หรือการจัดสรรผลประโยชน์จากแรงงาน และแน่นอนว่า โครงสร้างส่วนบน (Super structure) ในความคิดของ Marx อันประกอบด้วย อุดมการณ์ ความคิด ความเชื่อ กฎหมาย ศีลธรรม ปัญญา (วัชรพล,2549:26) โดยในความเห็นของผู้เขียน วาทกรรม(Discourse) ตามความหมายของ Michel Foucault ก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างส่วนบน กล่าวคือ เป็นระบบและกระบวนการในการสร้าง/ผลิตเอกลักษณ์ (Identity) และความหมาย (Significance) ให้กับสรรพสิ่งต่างๆในสังคมที่ห่อหุ้มเราอยู่ โดยวาทกรรมยังทำหน้าที่ตรึงสิ่งที่สร้างขึ้นให้ดำรงอยู่ และเป็นที่ยอมรับของคนในสังคมวงกว้าง (ไชยรัตน์,2545) เป้าหมายหลัก คือ เป็นสิ่งที่รัฐ หรือนายทุนใช้ปลูกฝัง เสมือนยากล่อมประสาท เพื่อมอมเมาประชาชนให้เชื่อฟัง เชื่อมั่นในรัฐ ก็ต้องมีอันสลายตามไปด้วย
 

  อย่างไรก็ตามนักปรัชญาการเมืองอีกท่านหนึ่ง คือ Antonio Gramsci (1891-1939) ผู้เป็นนักคิดสายสังคมนิยม สกุล Marxism แห่งอิตาลี ยังคิดต่อไปว่า การที่โครงสร้างส่วนบนดังกล่าว ของรัฐนายทุน คงอยู่ได้ ก็เพราะมี โครงสร้างส่วนล่าง (Lower structure) กล่าวคือ เครื่องมือ กลไกในการขับเคลื่อน จูงใจ และโน้มน้าวให้ทำ บังคับทั้งทางร่างกายและจิตใจให้เชื่อฟังและปฏิบัติตาม  มีการลงโทษเมื่อฝ่าฝืน โดยจำแลง แปลงร่างมาในรูปของ โรงเรียน มหาวิทยาลัย วัด ตำรวจ ทหาร ศาล และเรือนจำ เป็นต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นเครื่องมือในการสร้างภาวการณ์ครองอำนาจนำทางการเมือง (Political Hegemony) เพื่อครอบครองความคิด โน้มน้าวให้เกิดการยอมรับ (วัชรพล,2549:29) เป็นพิธีกรรมของรัฐ (ผ่านโครงสร้างส่วนล่าง) ในการย้ำความน่าสะพรึงกลัวของอำนาจ (โครงสร้างส่วนบน) อยู่เสมอ ทั้งนี้ รัฐอำนาจ-ความกลัว เป็นสามสิ่งที่ต้องอยู่ร่วมกัน (ไชยันต์,2551:44)

Gramsci เชื่อว่า เมื่อสังคมพัฒนาสู่ความเสมอภาคตามอุดมคติ (Communism) ย่อมส่งผลให้โครงสร้างส่วนบน เพื่อการมอมเมาความคิดประชาชน และโครงสร้างส่วนล่าง เพื่อการบังคับ ข่มขู่ ทำร้ายร่างกายและจิตใจประชาชน ก็ไม่จำเป็นต้องคงไว้อีกต่อไป ด้วยเหตุที่เชื่อมั่นว่าทุกคนในสังคม เป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยเหตุผล รู้จักการแบ่งงานกันทำ ตลอดจนมีการกระจายผลประโยชน์ที่ได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม



จะเห็นได้ว่า ในกระบวนทัศน์ของปรัชญาการเมืองดังกล่าว งานราชทัณฑ์ที่กำหนดบทบาทว่าเป็นงานคุ้มครองสังคม ด้วยการระงับ ยับยั้ง สร้างความกลัวต่อการกระทำผิดของคนในสังคม รวมถึงการลงโทษให้เกิดความเข็ดหลาบ แท้จริงแล้วเป็นเพียงกลไกหนึ่งของรัฐในการพยุงให้คงไว้ซึ่ง โครงสร้างส่วนบน ที่บงการโดยรัฐ ผ่านชนชั้นปกครองและนายทุน เพื่อการเอื้อประโยชน์ต่อชนชั้นของตน หาใช่ประโยชน์ของสังคมโดยรวมแต่อย่างใด และหากพิจารณาในกรอบของสสารนิยมวิภาษวิธี (Dialectic Materialism) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ Marxism พบว่างานราชทัณฑ์ ร่วมกับโครงสร้างส่วนล่างอื่นๆ เช่น ตำรวจ ทหาร รวมถึงหน่วยบังคับใช้กฎหมายต่างๆ ภายใต้บงการของรัฐ จะอยู่ในกระบวนการขัดแย้งและต่อต้าน (Anti-Thesis) กล่าวคือ เป็นการข่มขู่ คุกคาม ลงโทษ ทำร้าย ปราบปราม จองจำประชาชนผู้มีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์ด้วยข้อเสนอ (Thesis) หรือข้อเรียกร้อง อันเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ภายใต้ความเชื่อแห่งอุดมการณ์สูงสุดที่รัฐเพียรประกอบสร้างและปลูกฝังให้ประชาชนคล้อยตาม ด้วยเหตุดังกล่าว กระบวนการสังเคราะห์หรือหลอมรวม ของความคิดที่ขัดแย้งกันในสังคม (Synthesis) ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะในประวัติศาสตร์ รัฐ จะไม่เปิดพื้นที่หรือโอกาสให้กับ ข้อเสนอ ใดของประชาชนที่ขัดหรือแย้งกับโครงสร้างส่วนบนที่รัฐยึดมั่น



 ในประวัติศาสตร์ “งานราชทัณฑ์ ในฐานะโครงสร้างส่วนล่าง เป็นกลไกหนึ่งที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกครองของรัฐ อย่างเงียบเชียบ แต่ทรงประสิทธิภาพยิ่ง มาทุกยุคทุกสมัย ทว่าด้วยบทบาทของงานราชทัณฑ์ดังกล่าว ใช่หรือไม่ว่าจำนวนผู้ถูกจองจำที่ล้นเกินการแบกรับ อาจมาจากสาเหตุภายใต้แนวคิดหรือปรัชญาข้างต้น ที่ถูกกำหนดโดยโครงสร้างส่วนบน (Super structure determinism) และตราบใดที่ ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติหาใช่สิ่งอื่นใด แต่มันคือประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ทางชนชั้น อย่างที่ Marx กล่าวไว้เมื่อเกือบ 200 ปีก่อน นั่นคือ การต่อสู้ของชนชั้นที่แตกต่างกันในด้านทุน ความรู้ การเข้าถึงและการแบ่งปันทรัพยากร การเข้าถึงการรับบริการจากภาครัฐ ยังคงมีอยู่ตลอดเวลา ถือเป็นความขัดแย้งในสังคมที่แสวงหาความเท่าเทียมและเป็นธรรม ส่งผลให้คนจำนวนหนึ่งซึ่งพ่ายแพ้การต่อสู้ เป็นพวกด้อยโอกาส ถูกผลักเข้าสู่ระบบเรือนจำจนกระทั่งเกิดวิกฤต นักโทษล้นคุก หากแต่เป็นวิกฤตเฉพาะของหน่วยงานที่มีหน้าที่ควบคุม ดูแล ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งภายใต้โครงสร้างส่วนล่าง และตราบใดที่รัฐ ภายใต้โครงสร้างอำนาจรัฐรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลาง ที่มีรัฐเป็นตัวตั้ง สังคมเป็นตัวตาม (เสกสรรค์,2554:91)ไม่เชื่อว่ามันเกิดภาวะวิกฤต และไม่คิดว่าเครื่องมือและกลไกการทำงานหนึ่งของรัฐ ที่ไร้พลังอำนาจการต่อรองกับโครงสร้างส่วนบนในทุกกรณี จะสามารถยกระดับหรือทำตัวเป็นปัญหาได้ สภาวะการมองไม่เห็น ฟังไม่ได้ยิน สัมผัสไม่รู้สึก จึงเกิดขึ้น ประกอบกับ ความรุนแรงของปัญหายังไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างส่วนบน รัฐย่อมไม่นำพา หรือใส่ใจ อาจมีบ้างก็เพียงการเยียวยา แบบประคับประคอง ด้วยการหยิบยื่น “วิตามินเสริม หาใช่การ ผ่าตัดใหญ่ร่วมกับองคาพยพอื่นๆ ทั้งในและนอกกระบวนการยุติธรรม   เพื่อแก้ไขวิกฤตในระดับรากเหง้า เฉกเช่นที่งานราชทัณฑ์ไทย กำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน



เอกสารอ้างอิง



ติน ปรัชญพฤธิ์.2553.ทฤษฎีองค์การ.สำนักพิมพ์อินทภาษ.กรุงเทพมหานคร


ไชยันต์ ไชยพร.2551.ข้อวิพากษ์ทฤษฎีการเมืองของคลิฟฟอร์ด เกียทซ์.สำนักพิมพ์โอเพนบุค. 

         กรุงเทพมหานคร

ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร.2545.วาทกรรมการพัฒนา: อำนาจ ความรู้ ความจริง เอกลักษณ์และความ 

          เป็นอื่น. สำนักพิมพ์วิภาษา.กรุงเทพมหานคร

วัชรพล พุทธรักษา.2549.รัฐบาลทักษิณกับความพยายามสร้างภาวการณ์ครองอำนาจนำ.วิทยานิพนธ์

        รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการปกครอง ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์

        มหาวิทยาลัย

เสกสรรค์ ประเสริฐกุล.2554.เปลี่ยนประเทศไทยด้วยพลังพลเมือง ยุติการเมืองแบบหางเครื่อง.ปราชญ์
           สำนักพิมพ์. กรุงเทพมหานคร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

น้อมรับข้อคิดเห็นครับ