* มานะ วินทะไชย
จากการตรวจสอบปรัชญาการเมืองสายสังคมนิยม
สำนักความคิด Marxism
ยังไม่มีนักปรัชญาการเมืองท่านใด
กล่าวถึงความเกี่ยวข้องกับงานราชทัณฑ์ไว้อย่างเป็นการเฉพาะ
หากแต่ได้กล่าวถึงเป็นภาพรวมของสังคม-การเมืองที่เคลื่อนไหวและเป็นไป
ในฐานะกลไกและองคาพยพหนึ่ง ภายใต้ความกว้างใหญ่และซับซ้อนในนามของ “รัฐ” โดยผู้เขียนได้นำแนวความคิดโครงสร้างทางสังคมส่วนบน-ล่าง
ของนัก ปรัชญาการเมืองสำนัก Marxism 2 ท่าน
มาอธิบายประกอบทัศนะต่องานราชทัณฑ์ ดังนี้
นักปรัชญาท่านแรกเป็นต้นตระกูลสำนักคิด Marxism คือ Karl Marx (1818-1883) ผู้เชื่อมั่นว่า “ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติหาใช่สิ่งอื่นใด
แต่มันคือประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ทางชนชั้น”
และเมื่อใดที่ชนชั้นล่าง หรือผู้ใช้แรงงาน สามารถเอาชนะชนชั้นนายทุนผู้ขูดรีด แล้ว
รัฐจะปราศจากหรือหายไป ทุกคนจะเท่าเทียมกันทางสังคม ทั้งด้านการเข้าถึงทรัพยากร
การกระจายผลผลิต หรือการจัดสรรผลประโยชน์จากแรงงาน และแน่นอนว่า “โครงสร้างส่วนบน” (Super structure) ในความคิดของ Marx อันประกอบด้วย อุดมการณ์
ความคิด ความเชื่อ กฎหมาย ศีลธรรม ปัญญา (วัชรพล,2549:26)
โดยในความเห็นของผู้เขียน “วาทกรรม” (Discourse) ตามความหมายของ Michel Foucault ก็เป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างส่วนบน
กล่าวคือ เป็นระบบและกระบวนการในการสร้าง/ผลิตเอกลักษณ์ (Identity) และความหมาย (Significance) ให้กับสรรพสิ่งต่างๆในสังคมที่ห่อหุ้มเราอยู่
โดยวาทกรรมยังทำหน้าที่ตรึงสิ่งที่สร้างขึ้นให้ดำรงอยู่
และเป็นที่ยอมรับของคนในสังคมวงกว้าง (ไชยรัตน์,2545) เป้าหมายหลัก
คือ เป็นสิ่งที่รัฐ หรือนายทุนใช้ปลูกฝัง เสมือนยากล่อมประสาท เพื่อมอมเมาประชาชนให้เชื่อฟัง
เชื่อมั่นในรัฐ ก็ต้องมีอันสลายตามไปด้วย
อย่างไรก็ตามนักปรัชญาการเมืองอีกท่านหนึ่ง
คือ Antonio
Gramsci (1891-1939) ผู้เป็นนักคิดสายสังคมนิยม สกุล Marxism แห่งอิตาลี ยังคิดต่อไปว่า การที่โครงสร้างส่วนบนดังกล่าว ของรัฐนายทุน
คงอยู่ได้ ก็เพราะมี “โครงสร้างส่วนล่าง” (Lower structure) กล่าวคือ เครื่องมือ กลไกในการขับเคลื่อน
จูงใจ และโน้มน้าวให้ทำ
บังคับทั้งทางร่างกายและจิตใจให้เชื่อฟังและปฏิบัติตาม มีการลงโทษเมื่อฝ่าฝืน โดยจำแลง
แปลงร่างมาในรูปของ โรงเรียน มหาวิทยาลัย วัด ตำรวจ ทหาร ศาล และเรือนจำ
เป็นต้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งเป็นเครื่องมือในการสร้างภาวการณ์ครองอำนาจนำทางการเมือง
(Political Hegemony) เพื่อครอบครองความคิด
โน้มน้าวให้เกิดการยอมรับ (วัชรพล,2549:29)
เป็นพิธีกรรมของรัฐ (ผ่านโครงสร้างส่วนล่าง) ในการย้ำความน่าสะพรึงกลัวของอำนาจ
(โครงสร้างส่วนบน) อยู่เสมอ ทั้งนี้ รัฐ–อำนาจ-ความกลัว
เป็นสามสิ่งที่ต้องอยู่ร่วมกัน (ไชยันต์,2551:44)
Gramsci
เชื่อว่า เมื่อสังคมพัฒนาสู่ความเสมอภาคตามอุดมคติ (Communism) ย่อมส่งผลให้โครงสร้างส่วนบน เพื่อการมอมเมาความคิดประชาชน และโครงสร้างส่วนล่าง
เพื่อการบังคับ ข่มขู่ ทำร้ายร่างกายและจิตใจประชาชน ก็ไม่จำเป็นต้องคงไว้อีกต่อไป
ด้วยเหตุที่เชื่อมั่นว่าทุกคนในสังคม เป็นมนุษย์ที่เต็มไปด้วยเหตุผล
รู้จักการแบ่งงานกันทำ ตลอดจนมีการกระจายผลประโยชน์ที่ได้อย่างทั่วถึงและเป็นธรรม
จะเห็นได้ว่า
ในกระบวนทัศน์ของปรัชญาการเมืองดังกล่าว “งานราชทัณฑ์”ที่กำหนดบทบาทว่าเป็นงานคุ้มครองสังคม
ด้วยการระงับ ยับยั้ง สร้างความกลัวต่อการกระทำผิดของคนในสังคม
รวมถึงการลงโทษให้เกิดความเข็ดหลาบ
แท้จริงแล้วเป็นเพียงกลไกหนึ่งของรัฐในการพยุงให้คงไว้ซึ่ง โครงสร้างส่วนบน
ที่บงการโดยรัฐ ผ่านชนชั้นปกครองและนายทุน เพื่อการเอื้อประโยชน์ต่อชนชั้นของตน
หาใช่ประโยชน์ของสังคมโดยรวมแต่อย่างใด และหากพิจารณาในกรอบของสสารนิยมวิภาษวิธี (Dialectic
Materialism) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของ Marxism
พบว่างานราชทัณฑ์ ร่วมกับโครงสร้างส่วนล่างอื่นๆ เช่น ตำรวจ ทหาร รวมถึงหน่วยบังคับใช้กฎหมายต่างๆ
ภายใต้บงการของรัฐ จะอยู่ในกระบวนการขัดแย้งและต่อต้าน (Anti-Thesis) กล่าวคือ เป็นการข่มขู่ คุกคาม ลงโทษ ทำร้าย ปราบปราม จองจำประชาชนผู้มีแนวคิดเป็นปฏิปักษ์ด้วยข้อเสนอ
(Thesis) หรือข้อเรียกร้อง อันเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี
ภายใต้ความเชื่อแห่งอุดมการณ์สูงสุดที่รัฐเพียรประกอบสร้างและปลูกฝังให้ประชาชนคล้อยตาม
ด้วยเหตุดังกล่าว กระบวนการสังเคราะห์หรือหลอมรวม ของความคิดที่ขัดแย้งกันในสังคม
(Synthesis) ย่อมไม่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะในประวัติศาสตร์ รัฐ
จะไม่เปิดพื้นที่หรือโอกาสให้กับ “ข้อเสนอ” ใดของประชาชนที่ขัดหรือแย้งกับโครงสร้างส่วนบนที่รัฐยึดมั่น
ในประวัติศาสตร์
“งานราชทัณฑ์” ในฐานะโครงสร้างส่วนล่าง
เป็นกลไกหนึ่งที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือสำคัญในการปกครองของรัฐ อย่างเงียบเชียบ
แต่ทรงประสิทธิภาพยิ่ง มาทุกยุคทุกสมัย ทว่าด้วยบทบาทของงานราชทัณฑ์ดังกล่าว
ใช่หรือไม่ว่าจำนวนผู้ถูกจองจำที่ล้นเกินการแบกรับ
อาจมาจากสาเหตุภายใต้แนวคิดหรือปรัชญาข้างต้น ที่ถูกกำหนดโดยโครงสร้างส่วนบน (Super
structure determinism) และตราบใดที่ “ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติหาใช่สิ่งอื่นใด
แต่มันคือประวัติศาสตร์แห่งการต่อสู้ทางชนชั้น” อย่างที่ Marx กล่าวไว้เมื่อเกือบ 200 ปีก่อน นั่นคือ
การต่อสู้ของชนชั้นที่แตกต่างกันในด้านทุน ความรู้
การเข้าถึงและการแบ่งปันทรัพยากร การเข้าถึงการรับบริการจากภาครัฐ ยังคงมีอยู่ตลอดเวลา
ถือเป็นความขัดแย้งในสังคมที่แสวงหาความเท่าเทียมและเป็นธรรม ส่งผลให้คนจำนวนหนึ่งซึ่งพ่ายแพ้การต่อสู้
เป็นพวกด้อยโอกาส ถูกผลักเข้าสู่ระบบเรือนจำจนกระทั่งเกิดวิกฤต “นักโทษล้นคุก” หากแต่เป็นวิกฤตเฉพาะของหน่วยงานที่มีหน้าที่ควบคุม
ดูแล ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งภายใต้โครงสร้างส่วนล่าง และตราบใดที่รัฐ ภายใต้โครงสร้างอำนาจรัฐรวมศูนย์ไว้ที่ส่วนกลาง
ที่มีรัฐเป็นตัวตั้ง สังคมเป็นตัวตาม (เสกสรรค์,2554:91)ไม่เชื่อว่ามันเกิดภาวะวิกฤต
และไม่คิดว่าเครื่องมือและกลไกการทำงานหนึ่งของรัฐ
ที่ไร้พลังอำนาจการต่อรองกับโครงสร้างส่วนบนในทุกกรณี
จะสามารถยกระดับหรือทำตัวเป็นปัญหาได้ สภาวะการมองไม่เห็น
ฟังไม่ได้ยิน สัมผัสไม่รู้สึก จึงเกิดขึ้น ประกอบกับ ความรุนแรงของปัญหายังไม่ส่งผลกระทบต่อโครงสร้างส่วนบน
รัฐย่อมไม่นำพา หรือใส่ใจ อาจมีบ้างก็เพียงการเยียวยา แบบประคับประคอง
ด้วยการหยิบยื่น “วิตามินเสริม” หาใช่การ “ผ่าตัดใหญ่”
ร่วมกับองคาพยพอื่นๆ ทั้งในและนอกกระบวนการยุติธรรม เพื่อแก้ไขวิกฤตในระดับรากเหง้า
เฉกเช่นที่งานราชทัณฑ์ไทย กำลังประสบอยู่ในปัจจุบัน
เอกสารอ้างอิง
ติน
ปรัชญพฤธิ์.2553.ทฤษฎีองค์การ.สำนักพิมพ์อินทภาษ.กรุงเทพมหานคร
ไชยันต์
ไชยพร.2551.ข้อวิพากษ์ทฤษฎีการเมืองของคลิฟฟอร์ด เกียทซ์.สำนักพิมพ์โอเพนบุค.
กรุงเทพมหานคร
ไชยรัตน์
เจริญสินโอฬาร.2545.วาทกรรมการพัฒนา: อำนาจ ความรู้
ความจริง เอกลักษณ์และความ
เป็นอื่น.
สำนักพิมพ์วิภาษา.กรุงเทพมหานคร
วัชรพล
พุทธรักษา.2549.รัฐบาลทักษิณกับความพยายามสร้างภาวการณ์ครองอำนาจนำ.วิทยานิพนธ์
รัฐศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการปกครอง
ภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย
เสกสรรค์
ประเสริฐกุล.2554.เปลี่ยนประเทศไทยด้วยพลังพลเมือง
ยุติการเมืองแบบหางเครื่อง.ปราชญ์
สำนักพิมพ์. กรุงเทพมหานคร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
น้อมรับข้อคิดเห็นครับ